เลิฟซิกโกงเงิน ติด 2 ล้าน
จากกรณีการโพสต์บนเว็บไซต์ชื่อดังที่มีเรื่องราวการเตือนภัยผู้จัดการดารา และผู้กํากับฯ “Love Sick The Series” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้ง ยังมีกระแสเรื่องการค้างชําระค่าโปรดักชั่นกว่า 2 ล้านบาท จากแหล่งข่าวทีมงานกองละครซีรีส์ “Love Sick The Series” เมาท์ให้กระฉ่อนเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้กํากับซีรีส์เรื่องดัง “แอนดี้-ราชิต กุศลคูณสิริ” ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวดาราเดลี่ว่า
“มันเป็นเรื่องของคน 3 คน มีพี่ พี่ทิด และเขา เรารู้สึกว่าไม่อยากพูด เพราะถ้าพูดก็เหมือนเราแก้ตัว ซึ่งจุดเริ่มต้นก่อนเกิดเรื่องเราไปทําผิวหน้าที่คลินิกนั้นอยู่แล้ว ต่อมาเราเตรียมจะทําซีรีส์ และทางคลินิกก็กําลังอยู่ในช่วงต้องการประชาสัมพันธ์ จึงเห็นตรงกัน โดยให้น้องที่เข้ามาทําหน้าช่วยโพสต์ในสื่อโซเชียลลักษณะแลกเปลี่ยนบาร์เตอร์กัน ท้ายซีรีส์เราจะลงโลโก้คลินิกให้ และตอนสุดท้ายมาสรุปยอดกันทั้งในส่วนของเขาและของเรา เช่น เราสรุปมูลค่าการประชาสัมพันธ์ออกมา 500,000 บาท แต่เราใช้บริการเขาไป 400,000 บาท ก็หักลบกันไป หากเราใช้บริการมากกว่ามูลค่าสื่อ เราก็จ่ายส่วนต่างให้เขาไป ซึ่งยังไม่มีบิลอะไรมาถึง
แต่ทางทิดเขารู้จักกับเจ้าของคลินิก เขาก็เลยชวนลงหุ้น แต่เราไม่พร้อมลงเงิน เพราะอยู่ในระหว่างการถ่ายทําซีรีส์ ขอให้การเงินคล่องตัวก่อนเราจึงจะลงเงินกับทางคลินิก ซึ่งในช่วงหลังคลินิกเกิดติดขัดทางการเงิน เขาจึงมาถามว่าเงินลงหุ้นพร้อม หรือยัง เขาอยากได้เลย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยพูดกันเรื่องนี้ 3-4 รอบแล้ว และเขาเคยขอเงินประมาณ 50,000 บาท แต่ทางพี่ไม่ได้ให้เพราะต้องหมุนเงิน แต่แจ้งว่าถ้ามีแล้ว จะบอก หลังจากนั้นทางเขาก็เริ่มโทร.ถี่ขึ้น ประกอบกับทางพี่มีงานเยอะ บางครั้งเลิกดึกไม่ได้ติดต่อกลับ อาจทําให้เขาเข้าใจผิด จนท้ายสุดมีการส่งข้อความมาว่า จะเอาหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความ ซึ่งเหมือนกับว่าเราไม่จ่ายเขา แต่ความจริงในตอนแรกเราได้มีการตกลงในลักษณะการบาร์เตอร์ แลกสื่อกัน
เราเป็นคนอยู่ในวงการอยู่แล้ว จะทําอะไรให้ตัวเองเป็นข่าวตลอดเวลาก็ใช่ที่ คือเรารู้สึกว่าเราคุยขาดไปแล้ว แต่เขาเหมือนใช้อารมณ์ส่วนตัวกับเรา ซึ่งอยู่ในที่แจ้ง เรื่องบางเรื่องมีมูลจริง อย่างเรื่องการลงหุ้น แต่ยังไม่ลงเงิน อันนี้ใช่ แต่เรื่องอื่นๆ เช่น แม่น้องคนนั้นมาทําหน้า เรื่องโฉนด เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้น แต่พี่เองเฉยๆ กับข่าวแบบนี้ เพราะโดนมาเยอะ ก็เลยรู้สึกว่าเราอยู่ในที่แจ้ง และจับจุดว่าเราเป็นที่รู้จัก ซึ่งที่ผ่านๆ มาได้มีการพูดจากันแล้ว รวมทั้งเขาไม่เคยตีมูลค่าการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมีเดีย ของเรา มูลค่าแพ็คเกจของน้องๆ ที่เราทําให้เขา เราไม่เคยขอเก็บ เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ว่ามีปัญหา เนื่องจากอยู่ในช่วงการผกผันของกระแสเงินสดของตัวเอง แต่เขาคิดแค่ด้านเงินสดที่เราจ่ายเขาอย่างเดียว
ทั้งนี้ หลังจากโพสต์ในเว็บ Pantip ได้มีการส่งข้อความพร้อมกับแจ้งว่า จะส่งทนายเข้าไปคุยสําหรับกรณีต่างๆ แต่คงไม่ได้อะไรรุนแรง ซึ่งทางฝ่ายคู่กรณีก็ได้ตอบกลับมาว่า ไม่ทราบถึงการโพสต์บนเว็บไซต์ Pantip เหมือนเหตุการณ์นี้ทําให้เรารู้ว่า
คนเราเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับเหตุการณ์หรือกระแสข่าวลืออื่นๆ ที่มีเข้ามาให้ได้ยิน คือเราอยู่ในที่แจ้ง รวยแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าน่ากลัว คนรอบข้างแผลงฤทธิ์กันได้ชัดเจนมากขึ้น ก็ขอบคุณคนเหล่านี้ ทําให้เรารู้ว่าใครดีกับเรา”