เปิดเส้นทางในวงการ กว่าจะมาเป็น “ปันปัน สุทัตตา”
อีกหนึ่งนักแสดงสาวมากความสามารถ “ปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์” เชื่อว่าหลายคนคุ้นตากับความน่ารักของเธอมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้เรียนจบปริญญาตรีคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 ไปแล้ว วันนี้ทาง “ดาราเดลี่” จะมาล้วงลึกย้อนอดีตกว่าจะเข้าใาในเส้นทางบันเทิงเริ่มมาจากอะไร อยากรู้ต้องติดตามกันเลย
Q:จุดเริ่มต้นวงการบันเทิงของ “ปันปัน สุทัตตา”
A:ถ้าถามย้อนกลับไปตั้งแต่งานแรกในชีวิตของเราเลย ตอนนั้นเราอยู่อนุบาลแถวบ้าน เหมือนกับจะมีพี่สเก๊าท์ พวกโมเดลลิ่งเด็กมาสเก๊าท์เด็กแล้วเขาเห็นเราพอดี ตอนนั้นเราอยู่อนุบาล 2 มั้ง 4 ขวบอะ คือเด็กมาก แล้วเขาอยากให้ไปเล่นโฆษณาพอแม่รู้ พ่อแม่ก็ตื่นเต้น จำได้ว่าไปถ่าย โคโดโมะ ยาสีฟัน สมัยเด็กๆ ใส่ชุดกิโมโน คือปันเคยลงรูปในไอจีด้วย จำได้ว่ามันต้องเขียนหนังสือด้วย แล้วเรายังเขียนหนังสือไม่ได้ก็ต้องใช้มือพี่สาวมาแสตนด์อินแทน ตอนนั้นไปดูกันทั้งบ้านเลย แล้วก็โผล่หน้าออกมาจากอะไรสักอย่างใส่ชุดกิโมโน เป็นชุดญี่ปุ่นเด็กๆ
หลังจากนั้นเราก็เลยไปอยู่โมเดลลิ่งเด็ก แล้วเขาก็ส่งแคสงาน แคสงาน ทุกวัน ตั้งแต่จำความได้จนถึงม. 2 คือแคสงานทุกวันตอนเลิกเรียนถ่ายโฆษณา คือเป็นเด็กแคสงานโฆษณาเนี่ยแหละค่ะ พอเลิกเรียน 4 โมง 5 โมงเย็นเราก็ไปนั่งรอ เราก็นั่งรอถึง 4-5 ทุ่มเลยนะ บางวันได้แคสบ้าง บางวันไม่ได้บ้าง มันก็จะมีบางตัวที่ได้ บางตัวที่เราไม่ได้ ด้วยความที่ปันเด็กมาก ปันก็จะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เราต้องทำอยู่แล้ว หลังเลิกเรียนวันนี้เราต้องไปเหม่งจ๋าย วันนี้ไปพระรามเก้า วันนี้ไปทาวน์อินทาวน์ฟีโนเนี่ย ก็คือหนูไปหมดเลย แล้วก็อยู่หลายโมเดลลิ่งมากงี้ค่ะตั้งแต่เด็ก
ชินแต่ว่าเด็กๆ ปันนิสัยไม่ได้ดีมากนะ ขี้ร้อน ขี้หงุดหงิด แต่เด็กคนนี้จะได้โฆษณาบ่อยมากแล้วทีมงานก็จะแบบ ปันปันอีกแล้ว ปันจำได้เลยตอนนั้นพี่ฮุยมาเล่าให้ฟังว่าเคยถ่ายโฆษณาตอนเด็กๆ เขาเอาสร้อยมุกมาใส่ที่คอ แล้วปันก็แบบคัน ฉีกทิ้งเลย ฉีกทิ้งเลย ไม่แคร์ ฉีกทิ้งอะไรแบบนี้ เป็นเด็กแบบเด็กนิสัยไม่ดี จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะมากที่แบบพี่ๆ ในวงการจะเล่ากัน
ผลงานที่ผ่านมา โฆษณาที่เคยเล่น มีโดโซะ ซอสเซจิ ถ้าใครเคยเห็นก็เป็นปันปัน แล้วก็ยำยำ ช้างน้อยอันนั้นก็เคยเล่น ฟิชโช่เคยเล่นเยอะเลย ถ้าไปดูโฆษณาแบบตอนเด็กๆ อะไรอย่างงี้
เส้นทางการเป็นนักแสดง เคยเล่นละครตอนเย็นสมัยก่อน แล้วก็เขยิบมา คือตอนนั้นเหมือนพี่ที่แคสติ้งที่รู้จักเขาให้ไปแคส ลัดดาแลนด์ อะค่ะ ตอนนั้นก็ประมาณ 13 ที่ไปแคส แล้วดันได้พอดี ตอนแรกก็ไม่อยากเล่นเพราะแบบไม่อยากเล่นหนังผีกลัวหนังผี หนูจะไปเล่นหนังได้ยังไง หนูเล่นไม่เป็นหรืออะไรใดๆ จนแบบคุณพ่อต้องให้คุณย่ามาขอร้องบอกว่าเออเนี่ยเป็นโอกาสของเรานะไปเล่นเพื่อย่านะไปอะไรแบบนี้ เราจะรักคุณย่ามากก็เลยแบบโอเคได้ๆ
แล้วตอนไปถ่ายก็มีวีรกรรมเยอะมากเลยนะคะ เหมือนตอนนั้นเราเด็กมาก แล้วก็เหมือนกับว่ามันจะเป็นช่วงแบบผู้หญิงอยากแต่งหน้า เด็กแบบเริ่มทาลิปติกส์ เริ่มทาแป้งไปโรงเรียนอย่างงี้ใช่มะ แล้วในลัดดาแลนด์เป็นเด็กที่ต้องห้ามแต่งหน้า มันต้องปากซีดๆ และด้วยความที่ได้ลิปสติกส์แท่งใหม่มา แม่ซื้อมาให้แล้วเราก็จะทา แล้วก็จะเป็นสีชมพูแป๋นเลยตลอดเวลา แล้วก็จะแอบเข้าห้องน้ำแล้วก็ทาลิปสติกส์ พอออกมาปุ๊บ พี่จิมก็จะแบบ เฮ้ย! ทำไมปากมันชมพูงี้ เรียกช่างหน้ามาดิ ก็โดนยึดลิปสติกส์ไป โดนยึดไป เขาเช็ดออกก่อน สักพักเดินเข้าห้องน้ำก็ไปแอบทาใหม่ ก็ปากชมพูอีกพี่กบก็แบบฉันไม่ได้แต่ง ฉันไม่ได้ทำค่ะ ก็โดนยึดลิปสติกส์อีก หรืออะไรแบบนี้มันจะมีเหตุการณ์แบบเด็กๆ ใดๆ เกิดขึ้นตลกดี
เอาจริงๆ ปันอะ จำไม่ค่อยได้นะ ว่าตอนไปกองเป็นยังไงเพราะมันนานมาก มีแอคติ้งโค้ชแล้วก็แบบคือตั้งใจมากตอนนั้น ตอนที่ถ่ายก็ตั้งใจอะค่ะ ใช่ก็เป็นช่วงที่แบบหนักเหมือนกันเพราะเราก็เหมือนเด็ก ต้องเรียนหนักสือ แล้วก็แบบทำไมต้องมานอนตี 3 ตี 4 ถ่ายถึงดึก แต่ไม่ได้ตี 3 ตี 4 แบบนั้น แบบถ่ายถึงหลายๆ ทุ่มอะไรแบบนี้อะค่ะ หลายๆ วันติดกัน เลิกเรียนเสร็จก็ไปถ่าย weekend ไปถ่าย เราก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนๆ เขาไปเดินสยามกัน ทำไมเราถึงไม่ได้ไปหรืออะไรแบบนี้
เรื่องที่ทำให้คนรู้จักเรา ปันว่าลัดดาแลนด์เรื่องนี้แหละ เพราะว่าเป็นเรื่องที่เราดูเองแล้วยังรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ดีมากๆ จริงๆ เขาทำออกมาดีมากๆ แล้วก็องค์ประกอบทุกอย่างคือดีมาก ยังภูมิใจมากถึงทุกวันนี้ ว่าขอบคุณคุณย่านะคะ เราเล่นเป็นบทลูกเถียงพ่ออะ แล้วเด็กๆ เราคงเถียงพ่อเก่งมั้ง แต่เขาบอกว่าที่ปันได้ เพราะว่าเป็นเด็กที่พูกจาก้าวร้าวแต่ว่าไม่ได้ดูก้าวร้าว ตอนเด็กๆ เราก็คิดว่าเออเราคงเถียงพ่อบ่อยมั้งเราเลยได้มั้ง หลังจากนั้นก็มีเล่นหนังอีก แล้วก็มีฮอร์โมนส์ หลังจากนั้นก็มีต่อๆ มาอีก