พูดแล้ว! “ริชชี่ อรเณศ” ไขข้อข้องใจ หลัง “ก็อต อิทธิพัทธ์” ลบรอยสัก
เป็นคู่รักที่หวานกันหนักมาก สำหรับคู่ของนางนางเอกสาว “ริชชี่ อรเณศ” กับพระเอกหนุ่ม “ก็อต อิทธิพัทธ์” หลังจากที่เลื่อนสถานะจากคู่จิ้นกลายมาเป็นคู่จริงทำเอาแฟนคลับชื่นชอบและติดตามผลงานอย่างมากมาย ล่าสุดทางด้านสาว “ริชชี่” ได้ออกมาเปิดใจประเด็นข่าวเมาท์ หลังแฟนหนุ่มลบรอยสัก จนชาวเน็ตเม้าท์ว่าเธอนั้นเป็นคนสั่งให้ลบ เรื่องราวจะจริงหรือเปล่า รวมถึงกระแสละคร “พระจันทร์แดง” ด้วยซึ่งเธอเผยให้ฟังว่า
อ่านข่าวต่อ : เกิดอะไรขึ้น! แฟนคลับแห่ถาม “ก็อต” หวานใจ “ริชชี่” สั่งให้ลบรอยสักหรือเปล่า?!
ตอนนี้นางเอกเรื่อง พระจันทร์แดง เพิ่งออนแอร์ไป เป็นยังไงบ้างกระแสตอบ ก็ดี เหมือนตัวหนูดูเองรู้สึกว่าภาพสวยมากๆ ไปถ่ายต่างจังหวัดเป็นโลเคชั่นธรรมชาติตลอด แต่พอเห็นงานรู้สึกหายเหนื่อย เพราะทุกอย่างออกมาสวยงาม เรื่องนี้คู่พี่โตโน่ หนูรู้สึกว่าพี่เขาตั้งใจมากๆ กับคาแรกเตอร์ แล้วหนูก็เหมือนเป็นคนทำการบ้านกับคาแรกเตอร์ตัวเอง แฟนๆ ก็ดีใจที่ได้เห็นผลงานเราอีกครั้ง ภาพรวมทุกอย่างเขาบอกว่า ซีจีก็ดี นักแสดงก็ดีหมดเลย ภาพสวย
ข่าวที่ “ก็อต” เขาลบรอยสัก เอาจริงๆ เราบอกให้เขาลบไหม ไม่เกี่ยวกับหนูเลยค่ะ คือหนูไม่เคยคิดว่าเขาควรเป็นยังไงเลย เขาเป็นอะไรก็ได้ แต่เรื่องลบรอยสัก อาจจะเป็นความคิดของเขาที่เขาวางแผนมานานแล้ว เหมือนเขาเคยลบไปข้างนึง แล้วตอนนี้เหลืออีกข้างนึง เขาลบน่าจะที่แขน เพราะเวลาถ่ายละครด้วย เขาสักมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยค่อยๆ ลบไปเรื่อยๆ ถามว่าเขาบ่นว่าเจ็บไหมก็น่าจะเจ็บอยู่มั้งคะ
เคาะให้คนทางบ้านเลย เราไม่ได้สั่งให้ลบ? ไม่ใช่หนูค่ะ สถานะตอนนั้น เขาคุยกับหนูตอนแรกๆ เหมือนเขามีเรื่องไม่สบายใจ ตอนนั้นถ่ายละครด้วยกัน แล้วคุณพ่อป่วย เขาบอกว่าเขาเครียด อยากชวนคุย อยากมีใครที่คุยแบบไม่ให้เขาโฟกัสเรื่องที่เขาเครียดอยู่ เราก็เลยโอเคแบบรับฟัง เพราะแม่ก็บอกช่วยเพื่อนหน่อย ถ้าเขาคุยกับเราแล้วสบายใจ ก็ให้เขาคุย ฟังเขาหน่อยนะ เพราะปกติหนูจะไม่ค่อยคุยกับใครเป็นการส่วนตัว
ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่แบบพี่สาว ช่วงนั้นก็เลยรับฟัง ก็เหมือนสนิทกับเขา แต่มันก็มีช่วงที่ห่างเล่นละครจบแล้ว ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ความรู้สึกเปลี่ยน เหมือนเขากลับมาเจอหนูอีกครั้งตอนโปรโมท แล้วเขาก็ไปให้สัมภาษณ์ตามรายการ แล้วเขาไปสัมภาษณ์อันนึง เหมือนหนูเป็นคนแบบที่เวลาเขาเกิดเรื่องอะไรเขานึกถึงหนูอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็ทักหนูมาว่าเห็นที่สัมภาษณ์ไหม เขาพูดจริงนะไม่ได้เป็นโปรโมท
ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าเราผ่านช่วงเวลาหลายอย่างมามากๆ เรามีเหตุการณ์หลายอย่างที่เขาเหมือนทำให้เราโตขึ้น ที่ผ่านมาเหมือนเราจะมีเซฟโซนเยอะมากๆ ที่แบบว่าไม่อยากสนิทกับใครเลย แต่เขาก็ทำให้เราเป็นเพื่อนเขามาได้ เราก็เลยคิดว่าก็ลองเป็นเพื่อนเขาดูก็ได้ ถ้าไม่ต้องคิดว่าเขาชอบเรา ก็คิดว่าพยายามเป็นเพื่อนกัน