“อี๊ฟ พุทธธิดา” ร่ำไห้เปิดใจอาการคุณพ่อมีภาวะแทรกซ้อน บอกทำได้แค่โทรหาครั้งสุดท้าย
สร้างความโศกเศร้าให้กับวงการบันเทิง หลัง “อี๊ฟ พุทธธิดา” แจ้งข่าวการสูญเสียชีวิตของคุณพ่อ “อาต้อย เศรษฐา” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) ที่เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 77 ปี
อ่านข่าวต่อ : สุดเศร้า! คนบันเทิงร่วมไว้อาลัย “อาต้อย เศรษฐา” เต็มไอจี
ก่อนนำร่างไปสวดพระอภิธรรมที่ศาลา 1 วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. ซึ่งจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในเย็นวันนี้ ก่อนตั้งบำเพ็ญกุศลเป็นเวลา 100 วัน โดยล่าสุด “อี๊ฟ พุทธิดา” เปิดใจถึงคุณพ่อว่า
“มันมีหลายช่วงเวลาที่เราก็รู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะมีจุดที่เราต้องลากัน ถึงแม้ว่าเราจะคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่จริงๆ คือมันก็ยังไม่พอ สำหรับคุณพ่อ คุณพ่อทานได้น้อยมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ช่วงล่าสุดที่ไม่ได้ทาน ไม่ได้ทานคือไม่ทานเลยหรือทานแค่ 1-2 ช้อน มันก็ไม่นานมากนะคะ คำว่าทานได้คือทานได้แค่ 8-9 ช้อน อีกอย่างคุณพ่อก็ไม่อยากใส่สายในการให้อาหารด้วยเพราะว่าคุณพ่อไม่ชอบ ซึ่งครอบครัวเราก็ไม่อยากบังคับ เราอยากให้พ่อสบายใจที่สุด และเราก็มองว่าการบังคับจิตใจคนไข้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำ
อาการของคุณพ่อในช่วงที่ผ่านมามันก็ขึ้นๆ ลงๆ เพราะคุณพ่อป่วยมา 3 ปีกว่าแล้ว และมันก็มีหนักบ้างเบาบ้างเป็นระยะ เพียงแต่มันอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด กระทั่งล่าสุดที่เข้าไปโรงพยาบาลก็พบว่าคุณพ่อมีเสมหะเยอะมาก เลยต้องทำการดูดเสมหะ ซึ่งการดูดมันก็คงทำให้ท่านเหนื่อย ความดันตก แต่ด้วยความบอบบางของภาวะที่คุณพ่อเป็น คือข้างในของท่านคงเหนื่อยมากแล้ว ช่วงที่ผ่านมามันเป็นช่วงที่ยากลำบากพอสมควร เพราะนอกจากคุณพ่อแล้ว คุณแม่เองก็เหนื่อยเหมือนกัน เวลาพ่อไม่กิน แม่เองก็ไม่อยากกิน
กระทั่งล่าสุดที่คุณพ่อเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกคิดว่าคุณพ่อนอนโรงพยาบาลแค่ 2 วัน อี๊ฟก็เลยพาคุณแม่ไปคุยงานที่ต่างจังหวัดด้วยกันกับอี๊ฟ และพอเรากลับจากคุยงานเสร็จก็ค่อยไปรับคุณพ่อ นั่นคือสิ่งที่เราวางแผนไว้ วันนั้นพอถึงช่วงกลางคืนที่อี๊ฟไปถึงที่พัก อี๊ฟได้คุยกับผู้ช่วยที่เขาดูแลคุณพ่ออยู่ เขาก็ถามว่าอี๊ฟกลับวันรุ่งขึ้นเลยได้ไหม แต่พอประมาณตี 4 เขาโทรมาใหม่ เขาบอกว่าไม่น่าจะไหวแล้ว เขาอยากให้อี๊ฟคุยกับพ่อเลย ซึ่งอี๊ฟไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้น ตอนนั้นก็ได้แต่บอกพ่อว่า ถ้าพ่อเหนื่อยก็ขอให้พ่อพักเลย ไม่เป็นไร ใจก็คิดเหมือนกันนะว่าควรบอกให้พ่อรอหรือเปล่า ส่วนแม่ก็พูดเหมือนกันว่าพ่อไม่ต้องห่วง พวกเรารักพ่อมากที่สุด จากนั้นคุณพ่อก็ค่อยๆ หลับไป
ยอมรับเสียใจ แต่ก็เชื่อว่าพ่อเข้าใจ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครอยากให้เกิด ความรู้สึกมันคือความหนักอึ้ง แต่คุณแม่คือคนที่เข้าใจมากที่สุด เพราะคุณแม่รู้ว่าคุณพ่อมีชีวิตที่ดีมากๆ ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำให้พ่อคือทำให้พ่อให้หมดห่วง จากนั้นพอกลับมาถึงโรงพยาบาลและได้เห็นพ่อ เห็นพ่อที่ดูผ่องใส พ่อไม่ได้ดูเหมือนคนป่วย พ่อดูสงบ ไม่เหมือนช่วงที่เราผ่านช่วงเวลาที่แย่ๆ กันมาเลย อี๊ฟเลยรู้สึกว่าพ่อคงได้ไปที่ๆ ดีมากๆ เพราะพ่อดูมีความสุขทีได้หลับและพักผ่อนเสียที คนที่ดูแลเขาบอกว่าก่อนที่พ่อจะไป พ่อได้มองเห็นแสงเสียเขียว ซึ่งอี๊ฟก็ไม่แน่ใจว่าแสงอะไร แต่คิดว่าคงเป็นแสงที่พาพ่อไปสู่ในที่ๆ ดี ตอนนี้อี๊ฟไม่ได้คิดว่าพ่อไปไหน อี๊ฟคิดว่าพ่อยังอยู่กับเรา พ่อยังอยู่รับแขก เมื่อวานบอกให้พ่อกลับบ้าน พ่อก็กลับบ้านมากับเรา พ่ออยู่ในที่ๆ พ่อมีความสุข ทุกอย่างที่ทุกคนส่งให้พ่อ อี๊ฟเชื่อว่าพ่อได้รับค่ะ
และขอแจ้งอีกเรื่องนะคะ สำหรับผู้ที่ประสงค์จะร่วมทำบุญกับคุณพ่อ ทุกบาท ทุกสตางค์ ขออนุญาตนำไปสมทบทุนกับมูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ ในพระอุปถัมถ์ฯ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพื่อให้ท่านได้ใช้ในการรักษาดูแลผู้ป่วยต่อไป และของดรับพวงหรีดนะคะ เมื่อวานนี้อี๊ฟได้รับข้อความเยอะมาก ได้รับโทรศัพท์เยอะมาก จากญาติใกล้ชิด ญาติห่างๆ แฟนคลับ คนที่รู้จักและไม่รู้จัก นั่นทำให้อี๊ฟได้รู้ว่าคุณพ่อเป็นคนที่มอบความสุขให้กับทุกคนจริงๆ และวันนี้ทุกคนก็ส่งสิ่งนั้นกลับคืนมาให้คุณพ่อในวันนี้ ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะ
คำสอนของคุณพ่อที่สอนอี๊ฟมีเยอะมากๆ พ่อสอนอี๊ฟจนถึงวันสุดท้าย คนแพ้ต้องไม่ท้อ คนท้อต้องไม่ใช่คนแพ้ นี่คือคำที่คุณพ่อเคยเขียนและอี๊ฟจำได้ดี คุณพ่อสอนให้อี๊ฟรู้ว่าชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอด คุณพ่อเริ่มต้นจากศูนย์ ไปสู่จุดสูงสุด นั่นคือสิ่งที่คุณพ่อให้ไว้ แม้แต่วาระสุดท้ายคุณพ่อก็ยังสอนให้อี๊ฟได้รู้ว่าด้วยความกตัญญูคืออะไร การต่อสู้ของคุณพ่อ คุณพ่อมีหลาน มีครอบครัวเป็นแกนกลาง คุณพ่อเป็นคนที่รักครอบครัวมากๆ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนคุณพ่อก็พร้อมที่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ครอบครัวทำให้ท่านมีพลังกายในการใช้ชีวิตอยู่มากที่สุดค่ะ