นิ้ง กุลสตรี ควงสามีนอกวงการ ใหญ่ ไพรัตน์ จับมือฝ่ามรสุมป่วยหนัก ท้อจนเคยคิดลาโลก!
ควงสามีนอกวงการ “ใหญ่ ไพรัตน์” ออกรายการ สำหรับอดีตนางเอกดัง “นิ้ง กุลสตรี” ที่วันนี้ควงกันมาให้คำนิยามของคำว่ารักแท้กับการดูแลกันมายาวนานกว่า 4 ปี หลังนิ้งป่วยหนักขั้นโคม่า ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ว่า
สำหรับสุขภาพตอนนี้แข็งแรงขึ้น สามารถใช้ชีวิตนอกบ้านได้ แต่ต้องระวังเรื่องติดเชื้อ เรื่องอาหาร แล้วก็ยังต้องทานยาเคมีบำบัติ ยาพุ่งเป้า ยากดภูมิวันละ 6 เม็ดตลอดชีวิตทุกวัน ต้องตรวจเลือดทุกเดือน รวมถึงทานยาซึมเศร้าทุกคืน
สำหรับอาการป่วย จริงๆ นิ้งเริ่มไปตรวจวันที่ 11 กรกฎาคม ปี19 แต่ก่อนหน้านั้นเดือน สองเดือน สามเดือน ไม่แน่ใจ เริ่มรู้สึกล้า เหนื่อย อยากจะนอน ไม่อยากจะพูดกับใคร ไม่อยากทำอะไรทั้งๆ ที่เป็นคนออกกำลังกาย แต่พอ 1 อาทิตย์ก่อนที่จะไปตรวจก็เริ่มมีจั้มที่ขาใหญ่มากเลย ก็ไม่ได้คิดอะไร ใส่ถุงน่องสีดำเทาอยู่แล้ว จน 2 วันก่อนไปตรวจกลายเป็นว่าขึ้นแขนเร็วมาก แบบเยอะเลย วันที่ 11 เลยไปตรวจ คุณหมอเรียกพี่ใหญ่ให้ไปคุยส่วนตัวว่าเป็นอะไร บอกว่าให้แอดมิทด่วน ก็จับเจาะไขกระดูก ก็มารู้ว่าเกร็ดเลือดตัวเองเหลือแค่ 6 พัน จากคนปกติ 150,000-450,000 ต้องรีบให้เกร็ดเลือดด่วนไม่งั้นจะช็อก
พี่ใหญ่ : ผม 2 คนตรวจร่างกายทุกๆ 6 เดือนอยู่แล้ว ด้วยหน้าที่อาชีพนี้ แล้วผมก็ตรวจของตัวเองอีก คือ 1 ปีผมตรวจ 2 รอบ มันไม่ได้มีผลอะไรที่บอกว่าผิดปกติ อยู่ดีๆ ก็เริ่มต้นจากจั้ม เหนื่อยง่าย หายใจแบบเหนื่อย เดินขึ้นบันได บางทีเดินขึ้นได้สเต็ปขั้นนึงแล้วนั่งพัก เหนื่อยมาก
ส่วนขั้นตอนการรักษาของนิ้งแบบมะเร็งเม็ดเลือดขาว คือการให้เคมีบำบัด 8 คอร์ส คอร์สนึง 6 วัน ของพี่ให้ไม่ครบ เพราะเนื่องจากว่าให้ทีไรก็ติดเชื้อทุกที แล้วอยู่ที 2-3 เดือน จริงๆ การให้เคมีบำบัด 2 อาทิตย์เว้น 2 อาทิตย์ แล้วก็กลับมา 2 อาทิตย์เว้น 2 อาทิตย์ แต่ของพี่คอร์สแรกก็มีเอฟเฟคโดยทางเดินอาหารฉีก กระเพาะอาหารทะลุ เลือดก็ไหลไม่หยุด
พี่ใหญ่ : กระเพาะอาหารทะลุเป็นผลจากคีโมที่ให้
ต้องรักษายังไงกระเพาะทะลุ?
นิ้ง : ตอนนั้นอยู่ ICU หลับไป 5 วัน แล้ววันที่4 คุณหมอบอกว่าให้ทำถ้ายังหลับอยู่อย่างนี้ให้ญาติคุยกันว่าจะทำยังไง เพราะว่าใส่ท่อหายใจ ให้ยา ให้เลือด ให้พลาสม่า ให้เกร็ดเลือด เจาะข้างลำตัว ทำทุกอย่างเลยแต่ก็ไม่ตื่น แต่อยู่ดีๆ วันที่6 ก็ตื่น พอตื่นเสร็จก็รักษาแบบใส่ท่อให้อาหาร ทำพิกลายเพื่อต่อท่อมาให้คีโม แล้วก็ให้อาหารทางการแพทย์
เห็นว่ามีความท้อของพี่นิ้งด้วย ไม่อยากอยู่แล้ว?
นิ้ง : คือเริ่มต้นอาทิตย์แรก อาทิตย์ที่2 ยังไม่ค่อยรู้ตัว เพราะว่าอาจารย์หมอให้ยาซึม เหมือนนอนซึมๆ แล้วก็ยาแก้ปวดตลอดเวลาพออาทิตย์ที่3 เริ่มให้ฝึกเขียน เนื่องจากว่าเราพูดไม่ได้ พอฝึกเขียนก็วนๆ จะเขียน ก.ก็เขียนไม่ได้ แต่พอเริ่มเขียนได้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เขียนว่า อยากตาย เหมือนกับว่าคนเราทำงานตั้งแต่มหาวิทยาลัย จนมาทำงานที่เรารัก แล้วอยู่ดีๆ มานอนติดเตียง
พี่ใหญ่ : อันนี้คุณหมอบอกเลยว่าเป็นอาการของคนที่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนานๆ แล้วถูกรักษานานๆ แล้ววันที่เราเข้าโรงพยาบาล เราไม่ได้คิดว่าจะลงมาถึง ICU ขนาดนี้ พอเริ่มรู้สึกตัวปุ๊บ คุณหมอบอกว่าเป็นอาการปกติที่คนทั่วไปอาจจะพบได้ ก็คือมีความคิดว่ามันไม่อยากอยู่แล้ว ท้อแท้มาก นิ้งเขาก็เหมือนกัน เนื่องจากเขามีท้ออยู่ในปากคุณหมอเลยให้สื่อสารทางด้านการเขียน แต่ช่วงนั้นอาการแบบเบลอๆ ยังให้ยาแก้ปวด ก็เขียนมาว่าอยากตายคุณหมอก็เลยให้ผมแบบ คุณใหญ่ คุณนิ้งชอบอะไรเอามานะ ทำทุกอย่างที่เขาชอบ อย่างเช่น นิ้งเขาชอบฟังเพลง ผมก็ไปเอาลำโพงเล็กๆ มา คุณหมอก็อนุญาตใน ICU เปิดไปเถอะ แต่เปิดเบาๆ แล้วกัน คือเปิดเพลงวนๆ ไปให้นิ้งเขาฟังเพลงที่เขาชอบ แล้วผมก็อยู่ข้างๆ ตลอด ICU อย่างที่ทุกคนทราบมันเข้าไปไม่ได้ 24 ชม. แต่คุณหมอเขาให้ผมอยู่ ช่วงที่งดเยี่ยมผมก็ปิดม่านอยู่ข้างในนั่งจับมือเขา คอยให้กำลังใจเขา ตื่นมาทุกครั้งก็จะเจอผม มันคือการให้กำลังใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจที่ดีขึ้นที่จะอยู่ต่อไป คุณหมอเองก็มานั่งคุยกับนิ้ง เป็นคุณหมอรักษาโรคเลือด แต่เป็นหมอจิตวิทยาไปในตัว คุณนิ้งรอดมาถึงขนาดนี้แล้ว คุณนิ้งสู้ๆ นะ
นิ้ง : จะอยากตายทำไม เราต้องสู้กับเขานะ เราอุตส่ารอดมาถึงขนาดนี้ นิ้งหลับไปตั้งกี่วันรู้ไหม ตื่นมาเราควรจะใช้ชีวิตกับคนที่เรารักสิ เราต้องสู้ คุณหมอ เอกพันธ์ คือท่านดีมาก
พี่ใหญ่ : คุณหมอชมนิ้งเก่ง
หลักๆ เลยคือกำลังใจจากพี่ใหญ่ถูกต้องไหม?
นิ้ง : ใช่ค่ะ ทุกครั้งที่ลืมตามาแล้วหันไป มือพี่เขาจะจับมือของพี่แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งจำได้เลยว่าหันไปแล้วก็เห็นเขาก้มหน้า ซึ่งตัวเองได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจเสียงดังมาก แต่เสียงเขาร้องไห้ดังกว่า แต่เขาบอกเขาไม่ได้ร้องไห้เขานั่งสวดมนต์อยู่ ไม่จริงอะ เพราะมันดังกว่าเครื่องช่วยหายใจอีก