ความในใจของ “รอมแพง” ถึงละคร “พรหมลิขิต” เหลืออีกตอนเดียวเท่านั้น
เรียกว่าเดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้วสำหรับละคร “พรหมลิขิต” ล่าสุด “รอมแพง” เจ้าของนิยายตั้งแต่บุพเพสันนิวาสเผยความในใจและตีความของคำว่า “พรหมลิขิต” ให้ผู้อ่านเป็นสองประเด็นสำคัญ
อ่านข่าวต่อ:เพื่อนดาราแห่เบิร์ดเดย์ “นังอึ่ง” ขวัญใจของแฟนๆ จาก “พรหมลิขิต”
โดยเธอโพสต์ว่าละคร “พรหมลิขิต” เหลือเพียงอีกแค่ตอนเดียวก็จะอวสานในวันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้วนะคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็อยากให้ติดตามดูจนจบค่ะ
ส่วนดิฉันนั้น คิดว่าทุกคนในทีมทำละครได้ทำหน้าที่ของตนได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ส่วนหน้าที่ของดิฉันคือเขียนนิยาย และได้ส่งต่อพร้อมทั้งบอกเล่าทุกอย่างในเชิงนิยายไปหมดแล้วเช่นกัน
จะมีก็แค่การบอกความหมายคำว่า “พรหมลิขิต” ในมุมมองของการตั้งชื่อนิยายที่ยังไม่ได้บอกหน้าเพจนี้
“พรหมลิขิต” ความหมายหนึ่งของชื่อนิยาย คือ พ่อแม่ เป็นดุจดั่งพรหมของลูก เหมือนที่ชีปะขาวท่านพยายามฝืนกฏธรรมชาติด้วยความรู้สึกผิด ช่วยดึงย้อนเวลา รวบรัดการชดใช้กรรม เพื่อให้ “การะเกด” หรือ “อทิตยา” ได้มีความพัฒนาทางจิตวิญญาณไปควบคู่กับเจ้ากรรมนายเวรทุกคน (ซึ่งเรื่องการย้อนเวลาตรงนี้จะเป็นในแนวแฟนตาซีที่เรื่องจริงไม่มีวันเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นได้)
“พรหมลิขิต” ในอีกความหมายของชื่อนิยายเรื่องนี้ คือ ทุกสิ่งล้วนไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่ถูกกำหนดให้มีหน้าที่ต้องกระทำและดำเนินไปในทิศทางที่ต้องเป็นไป ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องความรัก มนุษย์เลือกพรหมลิขิตของตัวเองได้ แต่ไม่ว่ามนุษย์จะเลือกเดินไปทางไหนจุดมุ่งหมายก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ คือการเรียนรู้เรื่อง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ดังนั้นก็สามารถจะเรียกได้ว่า นิยายทั้งบุพเพสันนิวาส และพรหมลิขิต ไม่ได้เป็นของดิฉันอย่างแท้จริง ดิฉันแค่ทำหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะนักเขียนเพื่อสื่อออกมา ได้เป็นเจ้าของในระยะเวลาหนึ่งในชั่วชีวิตนี้ และสุดท้ายดิฉันก็ต้องจากไป
สิ่งที่ดิฉันคาดหวังมีเพียงนิยายของดิฉันจะทำให้ทุกคนที่ได้อ่านมีความสุข
ขอบคุณมากนะคะ ที่คอยติดตามสนับสนุนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และหวังว่าจะสนับสนุนนิยายของดิฉันในเรื่องราวอื่นๆต่อไปนะคะ
รัก
รอมแพง