“บอสพอล” เคลื่อนไหวส่งสารจากเรือนจำ “ผมทำอะไรผิด”
ผมอยู่ในเรือนจำมาจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว การใช้ชีวิตในเรือนจำ “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” สำหรับคนที่เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวเองแบบผม ผมเฝ้าถามตัวเองทุกๆวันว่า “ผมผิดอะไร” ... “ผมทำอะไรผิด” ถึงต้องข้ามาอยู่ในนี้ อยู่แบบ “ไร้อิสรภาพ” และยังคงรอได้รับการประกันตัวออกไปเพื่อพิสูจน์ให้สังคมได้รับรู้ “ความจริง” จากปากของผมเอง ซึ่งเป็นคนที่ยังคงเชื่อในกระบวนการยุติธรรมและพร้อมต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
อ่านข่าวต่อ: “วิฑูรย์” ทนาย “บอสพอล” แจ้งความเอาผิด “กฤษอนงค์-ฟิล์ม” จ่อเอาผิดเพิ่ม 89 คนขบวนการอ้างตัวเป็นผู้เสียหาย
วันนี้ผมต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า ผมกำลังสู้กับอะไรกันแน่? ผมต้องสู้อยู่ในนี้ในที่ ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยไม่รู้ข่าวสารต้องเฝ้าถามและรอคอยคำตอบจากคำบอกเล่าเล่าของที่บ้านที่ข้ามายี่ยมได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งในแต่ละวัน ผมบอกเล่าข้อเท็จจริงฝากทนายความอ๋องเพื่อไปสู่โลกกายนอก โดยการสื่อสารผ่านไปหลายทอด ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่มีทางที่จะได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนมันไม่มีทางที่จะเหมือนคำพูดของผมที่ถ่ายทอดเองโดยตรงออกมาจากใจแน่ๆ ผมกังวลในทุกๆ ครั้งที่ต้องสื่อสารอะไรก็ตามผ่านการใช้ปากของคนอื่น แต่ผมจะทำได้อย่างไรในเมื่อผมไม่มีทางเลือกอื่น ยังไงผมก็ต้องสู้ทั้งๆ ที่ความจริงมันมันการต่อสู้ที่ยากลำบาก ปากกาซักด้าม กระดาษชักแผ่น มันคือของที่หาได้ยาก เพื่อให้เขียนลำดับเหตุการณ์ แล้วนำไปบอกเล่าให้ทนายความได้เข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่ถูกจำกัดอิสรภาพแล้วต้องลุกขึ้นมาสู้ เพื่อทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง มันคือการถูกบีบบังคับ ให้สู้ในขณะที่เสมือนถูกมัดมือ มัดเท้าและปิดหู ปิดตา แล้วบอกว่า “สู้สิ” นี่แหละ ความยุติธรรมที่ผมกำลังเผชิญ
การสู้อยู่ในคุกมันยากเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการออกได้ แค่การหาพื้นที่ว่าง สำหรับการหย่อนก้นเพื่อนั่งลงให้พ้นจากผู้คน ผู้ต้องขังหรือนักโทษจำนวนมาก ที่แออัดกันอยู่ในนี้ก็ไม่ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว การจะหาที่เงียบๆ เพื่อเขียนอธิบายสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะได้เห็นข้อความนี้ปรากฏอยู่บน Facebook ของผมแล้ว ผมได้พยายามอย่างที่สุดแล้วจริงๆ ในการกลั่นข้อความบอกผ่านทนายทีละตัวอักษรเพื่อสื่อสารออกมาหาทุกๆ คน ขอให้ทุกๆ คนตั้งใจอ่านสิ่งที่ผมจะบอกต่อจากนี้ให้ดีๆ นะครับ
ความจริงคือ “คดีนี้ไม่มีผู้เสียหายเลยแม้แต่คนเดียว” คำถามที่คุณต้องถามเพื่อค้นหาความจริงด้วยตัวคุณเอง มีใครสักคนไหมที่ซื้อสินค้าจากบริษัทแล้วไม่ได้สินค้า มีใครสักคนไหมที่ขายของมีกำไรในระบบแล้วบริษัทไม่จ่ายเงินให้ มีใครสักคนไหมที่ได้โปรโมชั่นทริปท่องเที่ยวแล้วบริษัทไม่พาไปเที่ยว แล้วคุณจะพบความจริงที่ว่า “ไม่มีเลยสักคน” ตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่บริษัทดำเนินธุรกิจมา และไม่มีปรากฏในคำกล่าวหาของตำรวจในคดีนี้ด้วยครับ นั่นคือความจริงที่สรุปได้ว่า ซื้อสินค้าก็ได้สินค้า ทำงานก็ได้เงินและได้ผลตอบแทนอื่นๆ ตามที่บริษัทสัญญาไว้ แต่ก็ยังถูกกกล่าวหาว่า “ผมฉ้อโกงประชาชน” อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณสงสัยมั้ยครับว่าแล้วทำไมถึงมีคนออกมาแจ้งความเป็น 10,000 คน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังในจดหมายฉบับต่อไป...