ความในใจ! “นก จริยา” ย้ำธุรกิจบันเทิงไม่เคยได้เงินจากรัฐ ยันยังไม่ลาขาดช่อง 3
ถึงแม้ผู้จัดช่อง 3 หลายคนรวมตัวไปผลิตผลงานให้กับช่อง โมโน 29 หนึ่งในนั้นมีผู้จัดฝีมือดีอย่าง “นก จริยา” ที่กำลังจะมีผลงานเรื่อง “เพลงพยัคฆ์” ทางช่อง 3 ซึ่งด้านผู้จัดคนเก่งได้เผยความในใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันเทิงไทยว่า...
อ่านข่าวต่อ : "นก จริยา" ชิมลางทำละครเพลง รับมีปรับตัวตามยุค อยากให้ช่วยสนับสนุนวงการบันเทิงไทย...
“ละครที่ทำกับช่องสามตอนนี้ก็มีเรื่อง เพลงพยัคฆ์ ที่ปิดกล้องไปเมื่อต้นปี ซึ่งถ่ายทำตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนโปรเจ็คท์กับทางช่อง 3 จริงๆ ก็มีแพลนการนำเสนอเข้ามา ก็มีคุยและปรึกษากับทีมผู้ใหญ่อยู่เหมือนกัน มีการปรับเปลี่ยนบ้าง งานมันก็อาจจะยังไม่เข้ากันโดยตรง เราก็มีการขยับไปทำกับช่องโมโนด้วย และเราก็ยังทำงานกับช่อง 3 ได้เหมือนเดิม เมื่อเรามีการปรับรูปแบบงานเราก็เดินเข้ามาแจ้งทางผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ให้คำแนะนำที่ดี ซึ่งพี่ว่ามันเป็นปกติของการทำงานมันต้องมีการปรับบ้าง ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็ยังบอกว่าเราไม่ได้ขาดกันไปไหนนะ เรายังกลับมาทำงานเหมือนเดิมกันปกติ ซึ่งผู้ใหญ่ก็ให้ความเมตตาเสมอมา และทางฝั่งช่องโมโน ก็ให้เกียรติ คือเราคุยกันเรื่องงานเราเอาผลงานที่ดีๆ ไปเสนอ ซึ่งมันอาจจะยังไม่ลง ล็อกกับทางช่อง 3 เพราะแต่ละคนก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง ทุกฝ่ายเข้าใจกันดี
พี่ว่าทุกฝ่ายกำลังสู้กันเต็มที่ เพื่อให้ละครกลับมา สู้เพื่อครอบ ครัวของทุกคนที่อยู่ในธุรกิจบันเทิง อุตสาหกรรมบันเทิง และสิ่งที่เราคิดตลอดคือ คนไทยไม่ได้ไม่มีคุณภาพหรือด้อยไปกว่าต่างชาติ แต่ที่ผ่านมามันถูกตีกรอบ ซึ่งบางทีความเป็นสากลเขาเล่าได้เยอะกว่าเรา และทุนเขาสูงกว่าเรา เพราะเขาได้รับความสนับสนุนจากภาครัฐเยอะกว่าเรา ยกตัวอย่างอย่างเกา หลี ภาครัฐส่งคนไปเรียน เพื่อเอาบันเทิงกลับมานำอุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรมออกไป เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ซึ่งเราก็เห็นแล้ว K-Pop ซีรีส์ และหนังเขานำ คือการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งพี่ขออนุญาตพูดเลยว่า บ้านเราไม่เคยได้รับการลงทุนจากภาครัฐ เรื่องไหนดังก็ไปเกาะ ซึ่งจริงๆ ถ้าคุณหันมาดูแลอุตสาหกรรมบันเทิงให้เต็มที่ ข้าวไทย อาหารไทย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปแบบของคนไทย ที่เราจะไปนำให้ชาวต่างชาติเขามาเที่ยวเมืองไทยมันมหาศาล แต่เห็นงบที่ออกมาแล้วก็อยากร้องไห้ ซึ่งบ้านเราให้ละครสำเร็จก่อนถึงจะเข้ามา คือไม่เริ่มต้นไปกับเรา ซึ่งผู้จัดอย่างเราก็พูดเรื่องนี้กันมานานมาก พี่ว่าวิชั่นของผู้ใหญ่คือถ้าคิดได้ไวกว่านี้ 10 20 ปี แรงไปไหม คือพูดความในใจ พูดสิ่งที่จริง เพราะมันเป็นสิ่งที่พี่คิดอยู่ในใจมาตลอดเลยว่า แม้กระทั่งอุตสาหกรรมบันเทิง ดู ลิซ่า เราก็ไปเกาะน้องต้อยๆ จริงๆ ต้องขอบคุณลิซ่านะคะ เรานิสัยไม่ดีไหมพูดอย่างนี้ แต่เราขอพูดความในใจว่าเราเสียดาย แล้วเราก็ยังพยายามสู้เพื่อหลายๆ ครอบครัวที่เราดูแล และอยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิงด้วยกัน
ก็ขอฝากสื่อมวลชนทุกคน อยากให้เป็นกระบอกเสียงว่า ถ้าจะคิดเลทหรือช้าเกินไปก็ไม่สาย ถ้ากลับมาช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทย อาหารไทย แหล่งท่องเที่ยวไทย ผ้าไทย มันจะได้มีเงินไหลเข้าประเทศ อุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรมได้ยังคงอยู่และเติบโตไปด้วยกัน”
