“ทูน หิรัญทรัพย์” เปิดเหตุปะทะวัยรุ่นคลองถม จนถูกทำร้ายร่างกาย เล่าชีวิตเกือบคิดสั้น ดวงตาเห็นข้างเดียว
เปิดใจครั้งแรก “ทูน หิรัญทรัพย์” หลังขึ้นโรงพักเคลียร์ใจ 2 วัยรุ่น กรณีทำร้ายร่างกายกลางตลาดคลองถม เผยอีกด้านของชีวิตที่ดวงตามองเห็นเพียงข้างเดียวจนเกือบคิดสั้นมาแล้ว พร้อมเปิดใจเรื่องงานในวงการว่าจะยังได้เห็นในหน้าจออีกไหม ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
จากกรณีทะเลาะวิวาทกับเด็กวัยรุ่นจนถูกทำร้ายร่างกายจนนำไปสู่การแจ้งความ อัปเดตล่าสุด?
“เรื่องราวผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งสองฝ่ายเมื่อเวลาผ่านไปก็มีจิตใต้สำนึก ถ้าปล่อยให้เหตุเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดเห็นทางโซเชียลต่าง ๆ ที่เป็นสิทธิส่วนบุคคลของทุกคนอยู่แล้ว มันไม่เป็นผลดีที่ปล่อยให้คนวิจารณ์หรือตั้งศาลเตี้ยว่าคนนี้ผิดคนนี้ถูก ทั้งสองฝ่ายทั้งน้องที่อายุ 17-19 และเราก็ได้มีข้อคิดว่าถ้ามีวันหนึ่งที่คุยกันได้ สื่อสารกันให้ดี เรื่องราวทั้งหมดก็จะจบลง ไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือสงครามปาก ทางน้องและญาติติดต่อมาที่สน.เพื่อพูดคุยเราก็ได้ไม่มีปัญหา เพื่อความยุติธรรมทั้งสองฝ่ายก็มีทนาย พอคุยกันเสร็จก็ไม่มีอะไร มันไม่เหลืออะไรเลยเหลือแต่ความรู้สึกว่าตอนนั้นคืออารมณ์ชั่ววูบ เราด้วยเจตนาที่เคยอบรมเยาวชนมาเยอะ ๆ เพื่อที่จะบอกว่าทำอย่างนี้หรือควรจะเป็นอย่างนั้น แต่การตีความของน้องเขาอาจจะไปอีกทางหนึ่ง แต่ไม่เป็นไรทุกคนมีสิทธิ์คิดได้ ก็เลยกลายเป็นว่าเกิดเรื่องขึ้นมา เราที่เป็นผู้สูงอายุ(หัวเราะ) และเป็นผู้พิการทางด้านสายตามองไม่เห็นว่าอะไรลอยมา ตอนนี้คุยได้ยิ้มได้เพราะผ่านมาแล้ว เราเป็นคนไม่เก็บอะไรไว้นาน คำว่าทะเลาะวิวาทมันคือสองฝ่ายชกตีกันแต่อันนี้คือไม่ใช่ อันนี้คือการเข้าใจผิดเจตนาไม่สอดคล้องกันทำให้น้องเขาไม่สบายใจ ตัวเราเองก็เคยอบรมเยาวชนมา ลืมไปว่านี่ไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน ไม่ใช่เยาวชนที่มาอบรม แต่ด้วยเจตนาสามัญสำนึกว่าน้องตรงนี้ต้องทำดี ๆ นะ ตั้งใจทำงาน อนาคตจะได้ไปไกล ก็ไม่เป็นไรจบเรื่องราวตรงนั้นไป ก็เลยตกลงกันด้วยดี”
วันที่เคลียร์น้องอายุ 17-19 พูดอะไรด้วยบ้าง?
“วันที่เคลียร์เขาก็บอกว่าเสียใจ เหตุการณ์มันเกิดด้วยอารมณ์ชั่ววูบและบางทีการรับฟังเวลามีอารมณ์เราจะฟังลบ ๆ มันไม่ถูกต้อง ฟังแล้วมันขึ้นไปหมด ของขึ้นอะไรแบบนี้ ส่วนเราเองก็บอกว่าทางฝ่ายเราถ้าทำให้ไม่สบายใจเราต้องขอโทษด้วย เราไม่มีอะไรนะมีเจตนาอย่างเดียว น้องเขาบอกว่าที่ขอโทษ เขาก็ชั่ววูบ เขาก็เหนื่อยเหมือนกัน เขาก็ทำงาน ไม่เป็นไร มันก็เกิดขึ้นแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว เราก็คิดว่าทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้หมด แต่ที่สำคัญก็คือวิธีการคิด มานั่งปรึกษาคุยกัน ทำอย่างไร หาข้อยุติ ไม่เช่นนั้นเราก็จะเป็นจำเลยสังคม (หัวเราะ)”
อาการบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง?
“ภายนอกเราใส่แว่น แว่นก็แตก มีเลือดตรงโหนกแก้มและใต้ข้าง ๆ จมูก เราก็ไม่ได้อะไรตอนนั้นชา เราก็ไปหาหมอรพ.แรกรพ.กลางให้กินยา ทายา เอาน้ำแข็งประคบ พอวันรุ่งขึ้นเรารู้สึกร้าวมาที่กะโหลกด้านข้าง เราก็ไปหาหมอจักษุของเรา วัดความดันแล้วคุณหมอเปิดเปลือกตามันเหมือนอักเสบขึ้นมา มันไม่ใช่แผลแต่อักเสบบวมจากข้างใน เราก็แบบมีอย่างนี้ด้วยเหรอ ข้างขวาผมไม่เห็นแล้วนิ ผมก็ไม่เป็นมั้ง คุณหมอบอกว่าไม่ได้ ตาที่มองไม่เห็นข้างไหนข้างหนึ่งก็แล้วแต่ถ้าวันนึงลูกตามันเจอแบคทีเรีย เชื้อโรค มันอาจจะลามมาอีกฝั่ง ถามว่าเส้นประสาทไม่มีมองไม่เห็น ถ้ามันอักเสบขึ้นมาหนัก ๆ เข้าอาจจะเอาลูกกระตาจริงออกแล้วใส่ลูกตาลูกแก้ว”
อันตรายเหมือนกันนะ?
“นี่ก็เป็นความรู้ใหม่ของเรา”
ถ้าโดนต่อยข้างที่ไม่บอดก็มี
สิทธิ์ที่จะอักเสบแล้วตาบอดได้เหมือนกัน?
“ใช่ครับผม”
ตาข้างขวาที่บอดสนิทเลยเกิดอะไรขึ้น?
“สาเหตุจากความดันตาที่สูง ศัพท์แพทย์สมัยก่อนเรียกว่าเบาหวานขึ้นตา มันเลยเกิดอาการ เกิดจาก 2 อย่างคือ 1.พันธุกรรม อินซูลินทำงานผิดปกติ 2.พฤติกรรม แป้งเยอะ ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง มาปรับตัวเองว่ากินให้น้อยลง หมั่นไปตรวจ”
อาการก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร?
“เราปวดไมเกรนปวดหัวข้างนึง ปวดเบ้าตาน้ำตาไหล กินยาหมอตี๋(หัวเราะ) ไปตามร้านขายเอง วันหนึ่งไปประชุมที่ฝั่งธนกับมูลนิธิเมาไม่ขับ พอประชุมอยู่เราก็เคืองตา คุณหมอแท้จริงเลยเอานิ้วมากดตาเราแล้วมันไม่สปริง ปกติมันต้องเด้งกลับ เลยไปรพ.ทางฝั่งธนหมอก็บอกว่าทำไมความดันตาขึ้นมา 200-300 คุณต้องไปหาหมอตรวจจักษุ วันรุ่งขึ้นก็ไปรพ.นึงแถวศูนย์วิจัยเราก็ตกใจ แพทย์มาเอง หมอใหญ่มาเอง พอออกมาข้างนอกก็เจอนักข่าวเต็มเลย คุณหมอเลยให้ข่าวไปว่ามันเป็นยังไง”
พอรู้ว่ามองไม่เห็นจริง ๆ เคยคิดสั้นเลยเหรอ?
“ในภาวะที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตคิดว่าทุกคนก็ช็อกเหมือนกันนะ เคยทำงาน เคยดำเนินชีวิตปกติมา แล้วจะมองไม่เห็นแล้วหมอบอกว่ามันจะข้ามไปอีกฝั่งด้วย เราก็เครียด เราคิดแบบสั้น ๆ ถ้าเราไม่อยู่ครอบครัวของเรา เพื่อนของเรา งานของเรามันก็ดำเนินไปได้อยู่แล้ว ไม่อยู่สักคนก็ไปต่อได้ เราเสียสละไม่อยากให้ใครเดือดร้อนก็เลยไปก่อนดีกว่า เราก็ไปศึกษาว่าทำยังไงไปเร็วไม่เจ็บและคนอื่นไม่เดือดร้อน”
กลับจากช่วงเวลาที่คิดสั้นมาได้ยังไง?
“พอไปถึงที่จะตัดสินใจ เรารู้ว่าสูงกี่ชั้นอะไรยังไง เขาก็อนุญาตเรา เพราะเขายังไม่รู้เรื่องตาของเรา เราเคยขึ้นไปดูห้องหับ ไปดู facilities ว่ามีอะไรบ้าง เราก็แบบเห้ยข้างบนมีที่จอดเฮลิคอปเตอร์ เราเลยคิดถึงตรงนั้น สุดท้ายก็มีลูกมาเตือนสติเรา ลูกสาวสามคนบอกว่าขอให้ปะป๊าอยู่ทันงานรับปริญญา ถ้าเราไม่อยู่คงเป็นจุดดำในชีวิตเขาว่าทำไมเราไม่อยู่ ก็เลยเริ่มมีสติตรงนั้นและอยู่ต่อ”