เสริมพลังใจ! “ปลัด วธ.” เร่งฟื้นฟูจิตใจผู้ได้รับผลกระทบเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ด้วยพลังศิลปะวัฒนธรรม
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบทางจิตใจจำนวนมาก กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้หารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัด วธ อย่างเร่งด่วน และเตรียมบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงองค์กรภาครัฐ เอกชน ผู้นำชุมชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟู เยียวยา และบำบัดจิตใจ ด้วยเครื่องมือทางศิลปะ วัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ
ปลัดวธ. กล่าวต่อว่า “วธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินโครงการและกิจกรรมภายใต้แนวคิด “ฟื้นหัวใจ ฟื้นชุมชน ด้วยพลังศิลปะ วัฒนธรรม” เน้นการใช้ศิลปะ ดนตรี และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการบำบัดจิตใจ สร้างพลังบวก และฟื้นความหวังให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น กิจกรรมศิลปะบำบัดสำหรับเด็กและครอบครัว ดนตรีบำบัดโดยศิลปินจิตอาสา เวทีเล่าเรื่องชีวิตเพื่อการฟื้นฟูจิตใจ พิธีกรรมเรียกขวัญตามประเพณีท้องถิ่น การจัดคาราวานศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่เกี่ยวเนื่อง ที่มีผู้ได้รับผลกระทบ โดยเริ่มในพื้นที่ 5 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรีมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี จากนั้นจะทำในพื้นที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ด้วย”
ปลัดวธ. เน้นย้ำว่า “วัฒนธรรมไม่ใช่เพียงแค่ศิลปะหรือประเพณีเท่านั้น แต่คือพลังของความเป็นมนุษย์ พลังของหัวใจซึ่งเป็นเครื่องมื่อที่สามารถฟื้นฟูผู้คนจากความเจ็บปวด สูญเสีย และความกลัว ให้กลับมามีศักดิ์ศรี มีความหวัง และเชื่อมั่นในอนาคตได้อีกครั้ง” ทั้งนี้โครงการนำร่องภายใต้แผนปฏิบัติการระยะเร่งด่วน 3 เดือน จะเริ่มดำเนินการในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทันที พร้อมจัดตั้งกลไกขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ โดยมีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดในพื้นที่เป็นหน่วยประสานหลัก ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และจะใช้พลังของศิลปะ วัฒนธรรม ฟื้นฟูเยียวยาจิตใจของคนไทยอย่างอบอุ่นและยั่งยืน”
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก กระทรวงวัฒนธรรม
