หลังจากภาดา อภิรักษ์ภูบาล (ธนพล นิ่มทัยสุข) จบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อม โฉมพิไล (ธัญยกันต์ ธนกิตติ์ธนานนท์) ภรรยาสาวสวยที่แต่งงานกัน ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่ง คุณอัมพร (มณีนุช เสมรสุต) มารดาของภาดาที่รู้สึกว่าลูกชายของเธอทำสิ่งนี้ไม่ถูกต้องยิ่งโดยเฉพาะไม่บอกกล่าวให้เธอรู้ก่อน แต่ด้วยความสวยงามของโฉมพิไลบวกกับพื้นฐานครอบครัวเป็นผู้ดีเก่าที่มีฐานะร่ำรวยทำให้คุณอัมพรยอมรับลูกสะใภ้คนนี้ได้ทันทีและเต็มใจมาก ซึ่งต่างจาก อำนาจ (ตระการ พันธุมเลิศรุจี) น้องชายของคุณอัมพรที่กลับไม่พอใจและท้วงติงคุณอัมพรในเรื่องที่ภาดามีพันธะแล้ว ตามข้อตกลงของ ภูบาล (ตฤณ เศรษฐโชค) บิดาของภาดาที่เสียชีวิตไปแล้ว กับ นายวิน ศิรวิทย์ (ไพโรจน์ สังวริบุตร) เพื่อนสนิทของภูบาล และเป็นบิดาของ วาลิกา หรือ น้องทราย (พีชยา วัฒนามนตรี) ซึ่งพันธะนั้น เกิดจากเงินจำนวนสิบล้านบาทที่นายวินให้ภูบาลมาลงทุนทางธุรกิจที่ขาดทุนย่อยยับ ทำให้ภูบาลไม่สามารถใช้หนี้คืนได้
แต่นายวินกลับยกหนี้ให้โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าภาดาจะต้องแต่งงานกับน้องทรายซึ่งคุณอัมพรยอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ เพราะถึงแม้นายวินจะร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐีก็ตาม แต่ก็เป็นเศรษฐีบ้านนอก ไม่มีสกุล ไม่คู่ควรกับกับสกุลเก่าแก่อย่างอภิรักษ์ภูบาล หนำซ้ำยังมีลูกสาวเป็นง่อยโปลิโออีกด้วย คุณอัมพรจึงพยายามหลีกเลี่ยงเงื่อนไขนี้มาตลอดหลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งพยายามที่จะไม่ยอมชดใช้หนี้สินอีกด้วย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ภาดาไม่เคยรู้เรื่องเลยและคุณอัมพรก็มีเจตนาปิดบัง เพราะตั้งแต่นายภูบาลเสียชีวิตไปร่วมสิบกว่าปีนั้นนายวินไม่เคยมาทวงสัญญานี้เลยคุณอัมพรจึงนิ่งเฉยเสีย จนวันหนึ่งนายวินส่งข่าวว่าจะมาพบคุณอัมพรในสัปดาห์ที่จะมาถึงคุณอัมพรจึงจำเป็นต้องบอกภาดาทั้งเรื่องหนี้สินและเรื่องแต่งงานกับน้องทราย
ภาดาจำน้องทรายได้ทันทีพร้อมกับมีใบหน้าอ่อนโยนเมื่อคิดถึงเด็กหญิงรูปร่างบอบบาง นัยน์ตาโศกที่เปล่งประกายระยิบระยับเมื่อพบเขา เพราะน้องทรายถือเขาเป็นพี่ชายใจดีมีเมตตาต่อเธอในทุกๆ เรื่อง น้องทรายยอมรับว่าเธอมีโลกแคบเพียงแค่รถเข็นหนึ่งคันที่พาเธอไปได้เพียงแค่อาณาเขตของบ้านบิดาเธอเท่านั้น
ความจริงแล้วน้องทรายเป็นโปลิโอมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ซึ่งนับจากวันนั้นมาเธอก็มีชีวิตที่เงียบเหงาอยู่กับบิดาและพี่เลี้ยงชื่อ แจ่ม (วชิรา เพิ่มสุริยา) ที่รักเธอยิ่งกว่าชีวิตของตนเองยิ่งนัก กับพี่ชายที่มากับลุงภูบาลเพื่อเยี่ยมบิดาและตัวเธอที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งพี่ชายคือผู้เปิดโลกกว้างให้เธอเห็นด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนและแววตาอบอุ่นของเขานี้เองที่ทำให้ชีวิตของเธอกลับสดใสมีชีวิตชีวาพร้อมต่อสู้ต่อไป
และแล้วนายวินก็ได้มาพบกับคุณอัมพรและภาดาตามที่ได้นัดไว้แล้ว โดยคุณอัมพรมีท่าทางไม่ยอมสมาคมกับนายวิน แม้แต่จะร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่นายวินกลับไม่ถือสาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับกิริยาเหล่านั้นของคุณอัมพร และเมื่อภาดากับนายวินมีโอกาสได้คุยกันตามลำพัง ภาดาจึงขอผัดผ่อนเรื่องหนี้สิน แต่นายวินกลับขอร้องให้ภาดารีบแต่งงานกับน้องทรายด้วยเหตุผลที่ทำให้ภาดาพูดไม่ออกนั่นคือ นายวินเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายคาดว่าจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี ฉะนั้น ถ้าหากน้องทรายไม่รีบแต่งงานมีครอบครัวเสียก่อนเขาก็คงจะนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงอยากฝากฝังน้องทรายไว้กับภาดา แม้ว่าการแต่งงานจะเป็นเพียงในนามนายวินก็ยอมทั้งสิ้น เพราะเขามั่นใจว่าภาดาจะดูแลน้องทรายได้เป็นอย่างดี ภาดาเฝ้าครุ่นคิดว่าจะหาทางออกอย่างไรดีที่จะปฏิเสธนายวินอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ขณะที่คุณอัมพรเองก็คัดค้านชนิดหัวชนฝาจะไม่มีวันยอมให้ภาดาแต่งงานเป็นลูกเขยเศรษฐีบ้านนอกที่เธอประณามหยามเหยียดว่าเป็นไพร่ไม่มีสกุลรุนชาติอย่างนายวินโดยเด็ดขาด และเธอก็ยืนยันอีกด้วยว่าจะไม่ยอมเสียบ้านวัชรเวศน์เช่นกันแม้ว่าจะไม่มีเงินก้อนโตมาใช้หนี้ก็ตาม
ซึ่งทางออกมีประการเดียวคือภาดาต้องหาเงินสิบล้านบาทมาใช้หนี้ให้ได้ โดยภาดาได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทชื่อ อริน (ตะวัน จารุจินดา) โดยให้หาคนมารับจำนองบ้านวัชรเวศน์แต่ก็ไม่สำเร็จ คุณอัมพรบอกให้ภาดาขอความช่วยเหลือจากโฉมพิไล โดยคุณอัมพรก็ไม่รู้เลยว่าครอบครัวของโฉมพิไลอันประกอบด้วย คุณนายเฉลา (ปนัดดา โกมารทัต) มารดา กับ นายเฉลิมชัย (รพีภัทร เอกพันธ์กุล) พี่ชายกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าครอบครัวของภาดาเสียอีกเพราะมีหนี้สินล้นพ้นตัว เนื่องจาก นายภีม (เฉลิมพร พุ่มพันธ์วงศ์) บิดาเป็นนักการพนันตัวยง และสร้างหนี้สินไว้จนแม้แต่บ้านก็หลุดจำนองไปนานแล้ว เจ้าหนี้หลายรายก็คอยตามทวงหนี้อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามภาดาปฏิเสธที่จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากโฉมพิไลแต่ยังคงยืนยันที่จะขายบ้านวัชรเวศน์เหมือนเดิมทำให้คุณอัมพรหงุดหงิดกับข้ออ้างเรื่องเสียศักดิ์ศรีของลูกชาย ทำให้แม่ลูกต่างมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ทั้งสองต่างไม่ยอมกันและกัน แต่ในที่สุดเมื่อไม่มีหนทางอื่นใดวัชรเวศน์จึงเป็นคำตอบ
สุดท้ายที่จะจบปัญหานี้ได้ คุณอัมพรจึงได้เฝ้าแต่คิดถึงวันที่จะต้องออกจากคฤหาสน์ที่เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาของเธอแล้วรู้สึกใจหายทำให้ความเกลียดชังนายวินและน้องทรายเพิ่มพูนขึ้นเต็มหัวใจหาความปราณีไม่ได้อีกแล้ว
เวลาเดียวกันภาดาก็ไม่ละความพยายามที่จะหาคนมาซื้อวัชรเวศน์ต่อไป จนวันหนึ่งคุณอัมพรได้มารู้ความจริงจากนายวินว่า นายภูบาลหมั้นหมายน้องทรายด้วยอุบะเพชรเก่าแก่ของตระกูลที่มีมูลค่ามหาศาล ถ้าภาดาไม่แต่งงานกับน้องทรายอุบะเพชรของหมั้นก็จะตกเป็นของฝ่ายหญิงตามประเพณีไทย ความจริงแล้วอุบะเพชรเส้นนี้คุณอัมพรเคยสงสัยมานานแล้วว่านายภูบาลได้เก็บซ่อนไว้ที่ไหนเพราะเธอไม่เห็นมาหลายปีแล้ว จนกระทั่งนายภูบาลเสียชีวิตเธอก็ยังค้นหาไม่พบ เธอเพิ่งมารู้ความจริงจากนายวินนี้เอง และด้วยความเสียดายทั้งบ้านและอุบะเพชรทำให้คุณอัมพรเริ่มคิดแผนการชั่วร้ายขึ้นในใจทันที แผนการชั่วร้ายนี้เริ่มต้นที่โฉมพิไลก่อน
โดยคุณอัมพรเล่าเรื่องเพียงสัญญาพิสดารระหว่างเพื่อนรักสองคนคือนายภูบาลกับนายวิน โดยเธอไม่เล่าเรื่องหนี้สินแต่อย่างใดทั้งสิ้นเพราะกลัวเสียหน้า และเมื่อโฉมพิไลฟังจบเธอรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดในความคิดของเธอ แต่นั่นยังไม่เท่าไรเธอกลับตกใจสุดขีดเมื่อได้ฟังคำพูดสุดท้ายของคุณอัมพร คือคุณอัมพรขอให้ภาดาแต่งงานกับน้องทรายเพียงในนามเป็นระยะเวลา 1 ปี เมื่อนายวินตายแล้วคุณอัมพรก็จะให้ภาดาหย่าขาดกับน้องทรายทันที คำปฏิเสธของโฉมพิไลขาดหายไปทันทีเช่นกันเมื่อคุณอัมพรวางแหวนเพชรน้ำงามมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองล้านบาทเป็นรางวัลหากเธอตกลง ความโลภไม่เข้าใครออกใคร โฉมพิไลยินยอมกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอเป็นเวลา 1 ปี ในที่สุดภาดาแต่งงานกับน้องทราย งานแต่งงานจัดอย่างเรียบง่ายที่สุด ภาดาไม่ต้องการให้โฉมพิไลเสียใจในการแต่งงานของเขาครั้งนี้ และในคืนวันส่งตัวน้องทรายขอร้องภาดาว่าในระหว่างที่เธออยู่ในฐานะภรรยาของภาดา เธอขอให้ภาดาให้เกียรติเธอโดยไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นๆ อย่างเปิดเผยเพราะเธอไม่อยากให้ใครมาหัวเราะเยาะเธอ ภาดานิ่งอึ้งไปทันที
ภาดาเริ่มสงสัยและคิดว่าน้องทรายรู้เรื่องโฉมพิไลแล้วหรือ แต่อีกความคิดหนึ่งคัดค้านเพราะทุกคนถูกสั่งอย่างเด็ดขาดให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ทำไมน้องทรายจึงขอเช่นนี้ อย่างไรก็ตามภาดาก็รับคำขอนั้น วันเวลาผ่านไปประมาณ 4 เดือนนับจากวันแต่งงาน น้องทรายแน่ใจแล้วว่าคุณอัมพรเกลียดชังเธอมากเพียงไร โดยดูได้จากการแสดงออกอย่างชัดเจนทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยเฉพาะคำเรียกแทนชื่อเธอว่านังง่อยทุกครั้ง ซึ่งไม่เคยปิดบังในการถนอมน้ำใจของน้องทรายเลย รวมทั้งคนใช้ต้นห้องของคุณอัมพรด้วย และที่สำคัญคือสาวใช้ประจำตัวของโฉมพิไลชื่อปลั่ง (น้ำทิพย์ เสียมทอง) มักทำหน้าที่สอดแนมความสัมพันธ์ระหว่างภาดากับน้องทรายโดยรายงานให้โฉมพิไลรู้ทุกระยะ และมีเพียงคนเดียวที่น้องทรายเริ่มคลางแคลงและไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของเขาคือภาดานั่นเอง
เนื่องจากความนุ่มนวลอ่อนโยนที่เขาปฏิบัติต่อเธอ รวมทั้งสายตาห่วงใยที่คอยจับจ้องเธอและกิริยาท่าทีประคับประคองเอาใจใส่ต่อเธอ ทำให้น้องทรายพิศวง พร้อมกันนั้นเธอก็ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเขาห่วงใยด้วยคุณธรรมประจำใจต่อผู้หญิงพิการเช่นเธอเท่านั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่อย่างใดทั้งสิ้น ภาดาเท่านั้นที่รู้ดีว่าหัวใจของเขากำลังหวั่นไหวต่อความงามของน้องทราย ต่อความบริสุทธิ์ในจิตใจ และต่อความอ่อนหวานน่ารักของเธอ น้องทรายเป็นเด็กสาวที่งดงามทั้งกายและจิตใจ เธอไม่เคยแสดงกิริยาไม่พอใจหรือแง่งอนตามสิทธิของภรรยาเมื่อเขากลับบ้านดึก เธอรู้จากคำบอกเล่าของเขาว่าเขาทำงานพิเศษที่บริษัท ทั้งที่ความจริงคือเขาต้องไปหาโฉมพิไลทุกวัน ทั้งที่ในจิตส่วนลึกของจิตใจนั้นเขาไม่ยอมรับกับตนเองว่าเขาคิดถึงน้องทรายอยู่เสมอแม้จะอยู่ในขณะที่เขากำลังมีความรักใคร่กับโฉมพิไลก็ตาม
วันที่ภาดาแน่ใจว่าเขารักน้องทรายคือวันที่เขาเห็น สมิต (กฤษณกันต์ มณีผกาพันธ์) บุตรชายของ นายแพทย์สุเมธ (พงศ์ประยูร ราชอภัย) หมอประจำตัวของน้องทรายมาเยี่ยม จริงๆ แล้วสมิตสนิทสนมกับน้องทรายมาตั้งแต่เด็ก ภาพของน้องทรายที่ตื่นเต้นยินดีเมื่อเห็นสมิตนั้นคือภาพของทั้งสองคนคุยกันอย่างร่าเริง และเหนือสิ่งอื่นใด มือทั้งสองของน้องทรายอยู่ในอุ้งมือของสมิต ความรู้สึกเริ่มหึงหวงเพิ่งเป็นที่ประจักษ์แก่เขา ณ เวลานี้ แต่เขาก็ยังอดปฏิเสธกับตนเองตลอดเวลาไม่ได้ว่าความรู้สึกเช่นนี้คือความรักแต่เป็นเพียงความสงสารเห็นใจและห่วงใยเท่านั้น แต่เวลานี้เขาตระหนักแน่ชัดแล้วว่าเขารักน้องทราย แม้ว่าเขายังเข้าใจผิดว่า เขานั้นยังคงรักโฉมพิไลอยู่เต็มหัวใจอยู่เช่นเดิม
เมื่อเขาเริ่มรู้จักหัวใจตนเองเขาจึงดูแลเอาใจใส่น้องทรายมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อน้องทรายนั้นหาหลุดพ้นจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของปลั่งสักวินาทีเดียว จึงทำให้วันหนึ่งน้องทรายต้องประจันหน้ากับโฉมพิไลที่ส่งสายตาดุดันที่จ้องหน้าเธอด้วยความอาฆาตมาดร้าย พร้อมทั้งประกาศว่าเธอคือภรรยาคนแรกของภาดา เวลาต่อมาเป็นความยากลำบากของภาดามากขึ้นนั่นคือปฏิกิริยาเฉยเมยของน้องทราย ความหึงหวงเอาเรื่องของโฉมพิไล ความจงเกลียดจงชังของคุณอัมพร การไปมาหาสู่น้องทรายบ่อยขึ้นของสมิต และเหนือสิ่งอื่นใด อรินเพื่อนรักของเขาก็มีท่าทีพึงใจน้องทรายอย่างเห็นได้ชัด สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของภาดาว้าวุ่นไม่เป็นสุข เขาจัดการอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ไม่ได้แม้แต่จะใช้สิทธิ์ความเป็นสามีเพื่อป้องกันภรรยาจากชายอื่น ความกลัดกลุ้มเหล่านี้จึงทำให้ภาดาใช้เวลาอยู่คนเดียวตามร้านอาหาร ผับ บาร์ และบ้านเพื่อน
จนวันหนึ่งในบาร์แห่งหนึ่ง เขาได้ยินเสียงผู้ชายสองคนคุยกันโดยพาดพิงถึงลูกสาวเศรษฐีเมืองจันท์ที่พิการทำให้ภาดาตั้งใจฟัง เสียงหนึ่งนั้นคือสมิต อีกเสียงคือ เอกชัย ญาติห่างๆ ของสมิตที่ถามถึงคู่รักสาวน้อยที่สวยราวเทพธิดาแต่พิการ คำตอบของสมิตทำให้ภาดาต้องร้อนผ่าวไปทั้งตัวเพราะสมิตตอบว่าเขารักน้องทรายมาตั้งแต่เด็ก และขณะนี้เขาก็ยิ่งรักน้องทรายมากขึ้น น้องทรายเองก็ไม่ได้รังเกียจเขาเลย ซึ่งเขาก็ยินดีรอน้องทรายจนกว่าถึงวันที่น้องทรายเป็นอิสระ คืนนั้นภาดากลับถึงบ้านด้วยความเมามายจนแทบทรงตัวไม่อยู่ เขาเข้าไปหาน้องทรายและล่วงเกินเธอด้วยพิษรักแรงหึง แต่น้องทรายไม่ยินยอมต่อสู้จนสุดฤทธิ์จนภาดาต้องจำยอมหยุด และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาภาดาก็กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับน้องทราย เธอไม่พูดด้วย ไม่มองหน้าเขา ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนสำหรับเธออีกต่อไป มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีสนิทสนมกับสมิต อริน หรือแม้แต่เฉลิมชัยพี่ชายของโฉมพิไลที่พาตัวเข้ามาใกล้ชิดกับน้องทรายเพราะหลงรักในความสวยงามของเธอ
เฉลิมชัยเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ดีๆ น้องทรายที่เคยเฉยเมยจนอาจกล่าวได้ว่ารังเกียจเฉลิมชัยอย่างออกนอกหน้า แต่ตอนนี้กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ภาดาเองก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน ดูเป็นคนเฉยเมยต่อทุกสิ่งเรียกได้ว่าไร้หัวใจ ทำให้โฉมพิไลครุ่นคิดด้วยความแค้นใจ เพราะเขาเงียบขรึม ไม่แสดงความรักกับเธอเหมือนอย่างเคย เธอรู้ว่าเป็นเพราะใครแผนการแก้แค้นจึงเกิดขึ้น โฉมพิไลรู้ว่าน้องทรายมีแมวที่เธอรักมากชื่อสีเงิน เธอจึงพาเจ้าซาตานสุนัขพันธุ์ดุของเธอไปที่บ้านวัชรเวศน์ เสียงกรีดร้องดังของเด็กสาวใช้ในบ้านทำให้แจ่มพาน้องทรายออกมาทันเห็นเจ้าซาตานกำลังขย้ำสีเงินอย่างมันเขี้ยว น้องทรายได้แต่ร้องห้ามและทำท่าจะขยับตัวลุกขึ้นไปห้ามแต่แจ่มกดบ่าของน้องทรายไว้ทัน ทั้งสองต่างมองตากัน สายตาของน้องทรายมีแต่ความแค้นใจเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย คุณอัมพรเมื่อรู้เรื่องทั้งหมดกลับโทษและดุว่าน้องทรายที่ไม่ดูแลสีเงินให้ดีกลับปล่อยออกมาเพ่นพ่านรู้อยู่แล้วว่าสุนัขกับแมวไม่ถูกกัน
แม้น้องทรายจะชี้แจงเหตุผลว่าเธอขังสีเงินไว้ในห้องนอนตลอดเวลาคุณอัมพรไม่เชื่อและหาว่าเธอโกหก น้องทรายจำต้องนิ่งทั้งที่ใจสั่นระริกด้วยความโกรธ น้องทรายตัดสินใจส่งข่าวให้นายวินเดินทางมาที่วัชรเวศน์โดยด่วน และเมื่อนายวินมาถึง เธอก็บอกความในใจว่าเธอทนไม่ไหวแล้วที่จะทำตามแผนของพ่อ เธอขอคำตอบจากพ่อว่าเหตุใดพ่อจึงส่งให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้านที่มีแต่คนใจดำ นายวินได้แต่ตอบว่าให้น้องทรายอดทนและวันหนึ่งจะรู้ถึงเหตุผลของพ่อ เธอพูดพลางร้องไห้พลางบอกพ่อว่าเธอจะไม่ทนอีกต่อไป เธอลุกขึ้นเดินอย่างปราดเปรียวเพื่อจะออกจากห้องนอน จะไปบอกทุกคนว่าเธอไม่ได้เป็นง่อยอย่างที่ทุกคนเข้าใจ เธอหายจากโรคร้ายมานานแล้ว แต่พ่อขอให้เธอทำย่างนี้เพื่อเหตุผลอะไรเธอก็จะไม่ขอฟังเหตุผลอีกแล้ว นายวินได้แต่ปลอบโยนและขอร้องบุตรสาวให้เชื่อพ่ออีกสักครั้งเพราะพ่อรักและหวังดีต่อลูกสาวจริงๆ ในที่สุด น้องทรายจึงต้องจำยอมอีกครั้งหนึ่ง
ต่อมาภาดาเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของน้องทรายอย่างเด่นชัดขึ้น จากเด็กสาวที่อ่อนโยน สงบเสงี่ยมเจียมตัว กลับกลายเป็นเธอแข็งแกร่งขึ้น โต้เถียงมากขึ้น เธอไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างของใครก็ตามในวัชรเวศน์ที่เกลียดชังเธออีกต่อไป เธอต่อกรกับโฉมพิไลที่คอยวนเวียนมาหาเรื่องเธออย่างสะใจ โฉมพิไลก็ไม่สามารถทำอะไรน้องทรายได้ถนัดเพราะน้องทรายมีสิทธิ์มากกว่าเพราะอยู่ในฐานะภรรยาที่ถูกกฎหมาย ส่วนคุณอัมพรเองก็ได้แต่เฝ้ามองและครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้อุบะเพชรคืนจากน้องทราย ซึ่งมีวิธีเดียวเท่านั้นคือทำให้น้องทรายเจ็บใจและถอยไปจากชีวิตของภาดา เพราะน้องทรายได้เคยลั่นวาจาไว้แล้วว่า วันที่เธอสิ้นสุดความเป็นภรรยาของภาดา เธอจะคืนอุบะเพชรเส้นนั้นทันที
ในขณะที่น้องทรายกำลังสะใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ภาดาได้แต่เศร้าหมองใจ เพราะน้องทรายไม่เป็นน้องทรายของพี่ชายอย่างเดิมเสียแล้ว โฉมพิไลเห็นท่าทีของภาดาก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขากำลังหลงรักภรรยาแต่ในนามเสียแล้ว โฉมพิไลโกรธแค้นจนแทบกระอักเป็นเลือด ท่าทียั่วยวนผูกมัดภาดาด้วยเล่ห์ของโฉมพิไลไม่มีผลอีกต่อไป ภาดาได้แต่เศร้าซึมและเงียบขรึมผิดปกติ โฉมพิไลหมดปัญญาที่จะดึงภาดากลับมาสู่อ้อมแขนของเธออย่างเก่าได้อีกแล้ว ในเวลานี้เอง บุญเทิด (จตุรวิทย์ คชน่วม) สามีคนแรกของโฉมพิไลที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งทั้งสองเป็นวัยรุ่นใจแตกจนต่อมาเธอท้องและทำแท้งในที่สุด
ในช่วงนั้นบุญเทิดยากจนจึงเป็นที่รังเกียจของครอบครัวโฉมพิไล แต่ขณะนี้บุญเทิดร่ำรวยเป็นพ่อเลี้ยงอยู่ภาคเหนือ คุณนายเฉลาจึงตื่นเต้นกับเงินและของกำนัลของบุญเทิด แม้แต่โฉมพิไลเองบุญเทิดก็ปรนเปรอด้วยเครื่องเพชรราคาแพง ดังนั้นวันหนึ่งโฉมพิไลจึงยินยอมเป็นชู้กับสามีเก่าด้วยความเต็มใจ คุณอัมพรดำเนินตามแผนที่วางไว้เพื่อจะให้น้องทรายออกไปจากวัชรเวศน์อย่างแยบยล เธอร่วมมือกับเฉลิมชัยโดยใส่ความว่าภาดาสนับสนุนให้เฉลิมชัยมาแกล้งทำเป็นรักน้องทราย แม้แต่ปลั่ง ภาดาก็จ้างให้หาเรื่องกับน้องทรายเพราะจะได้ทำให้น้องทรายออกไปจากบ้านโดยเร็ว นอกจากนี้คุณอัมพรยังพูดให้น้องทรายรู้ว่านายวินพ่อของเธอนั้นซื้อผู้ชาย คือภาดาให้แต่งงานกับเธอด้วยมูลค่าสิบล้านบาท น้องทรายตัวชาด้วยความเสียใจ เธอสั่งแจ่มให้เก็บของ ดังนั้นเมื่อภาดากลับจากทำงานในวันหนึ่งจึงพบว่าน้องทรายและแจ่มกลับไปบ้านเมืองจันทบุรีแล้วพร้อมกับทิ้งใบหย่าไว้ให้เขาและจดหมายลาที่ปราศจากเยื่อใย
เมื่อภาดาตามไปหาเธอที่เมืองจันท์เขาก็ต้องตกใจที่เห็นเธอเดินได้อย่างปราดเปรียวไม่มีเค้าของคนพิการมาแต่เด็กใดๆ เลย เขาได้รับรู้ความจริงจากเธอว่าเธอหายจากเป็นง่อยโปลิโอมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบแล้ว แต่ที่ทำเช่นนี้เพราะเป็นแผนของพ่อเธอที่ต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจที่เขาจะรักดูแลเธอตลอดไปตามที่ได้สัญญาไว้หรือไม่ พร้อมกันนั้นเธอก็แจ้งข่าวให้เขารู้อีกด้วยว่าเธอได้หมั้นกับสมิตเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาต้องซมซานกลับกรุงเทพฯ ทันที แต่ก่อนที่จะกลับ เขาได้แสดงความยินดีกับน้องทรายพร้อมกับบอกความจริงที่เขาอยากบอกเธอมานานแล้วว่าเขารักเธอ
เคราะห์กรรมที่โหมเข้ามาหาภาดายังไม่หมดสิ้น เพราะในไม่ช้าเขาก็ได้รู้ความจริงว่าโฉมพิไลเป็นชู้กับบุญเทิด ภาดารู้ความจริงนี้ก็ด้วยนัยน์ตาของตนเอง นั่นคือเขาสะกดรอยตามโฉมพิไลไปยังบ้านในสวนลึกที่บุญเทิดใช้เป็นรังรักกับเธอ เขาทนฟังเสียงบาดใจไม่ได้จึงบุกเข้าไปในขณะที่สองคนกำลังระเริงรักต่อกัน ขณะเดียวกันก็ได้เกิดการชกต่อยของชายทั้งสอง ภาดาเจ็บหนักไม่แพ้บุญเทิด
เขากลับบ้านกลับห้องนอนที่ปราศจากเงาของน้องทราย ความเสียใจยิ่งทับทวีคูณขึ้นเมื่อตระหนักดีว่าบัดนี้ทุกอย่างได้พังทลายไปสิ้น เขาได้ปล่อยให้ดวงแก้วล้ำค่าในมือหลุดไปเป็นสมบัติของชายอื่นเสียแล้ว วันต่อมาทุกคนในบ้านวัชรเวศน์ต้องจ้าละหวั่นหาตัวภาดา เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆ กับมีข่าวซุบซิบในสังคมว่าโฉมพิไลไปฮันนิมูนที่ญี่ปุ่นพร้อมกับบุญเทิด
ณ เมืองจันทบุรีในอีกสามเดือนข้างหน้า สมิตจะต้องเตรียมตัวไปหาลูกค้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะเดียวกันข่าวเรื่องภาดาหายตัวไปได้มาถึงเมืองจันท์โดยน้องทรายรับรู้ข่าวนี้อย่างสงบนิ่ง เก็บความห่วงใยไว้ในใจอย่างมิดชิด สามเดือนผ่านไปสมิตเดินทางไปประจวบคิรีขันธ์ แต่วันหนึ่งเมื่อน้องทรายกลับมาจากข้างนอกบ้านพบแจ่มทำหน้าตาแปลกๆ รออยู่หน้าบ้าน เธอจึงเกิดความสังหรณ์ใจ พอเดินเข้าไปภายในบ้านน้องทรายพบภาดาอยู่ในสภาพทรุดโทรม ผอมซูบเพราะป่วยหนักด้วยไข้ป่าผสมมาเลเรีย ภาดากระซิบบอกน้องทรายว่าเขาอยากพบน้องทรายมากเพื่อขอโทษในเรื่องราวทั้งหมดก่อนตาย น้องทรายกอดพี่ชายของเธอไว้ในอ้อมแขนและบอกความในใจที่เก็บไว้มานานว่าถ้าพี่ชายตายก็เท่ากับน้องทรายไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วเช่นกัน แล้วจากนั้นน้องทรายก็รีบพาภาดาไปโรงพยาบาลทันที เธอกำชับหมอว่าให้รักษาภาดาจนสุดความสามารถ
วันเวลาผ่านไป อาการของภาดาดีขึ้นอย่างช้าๆ น้องทรายไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากเฝ้าอยู่ข้างเตียงของภาดาพร่ำรำพันให้เขาหาย ภาดาทำท่าเหมือนได้ยินคำพูดของเธอ เขาจึงพึมพำเสียงแหบแห้งเกือบไม่เป็นคำว่าเขารักน้องทรายแต่น้องทรายไม่รักเขา เธอรักสมิตและเกลียดพี่ชายของเธอ น้องทรายซบหน้าสะอื้นกับอกของภาดากระซิบว่าน้องทรายไม่ได้รักสมิตและน้องทรายไม่ได้เกลียด พี่ชาย เสียงนั้นแม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่มันดังกึกก้องในโสตประสาทของชายที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องนั้น สมิต กาญจนรัตน์นั่นเอง รุ่งขึ้นคุณอัมพรมาถึงจันทบุรีเพื่อขอโทษคุณวินและน้องทราย พร้อมทั้งขอร้องคุณวินให้ช่วยภาดาด้วย ถ้าภาดาผิดหวังจากน้องทรายในครั้งนี้เธอเกรงว่าภาดาอาจจะไม่รอดชีวิตเพราะไม่มีกำลังใจเหลืออยู่เลย
คุณวินแม้จะเห็นใจแต่คำตอบก็คือจนใจเหลือเกินเพราะน้องทรายหมั้นกับสมิตแล้ว และพร้อมกันนี้คุณวินเองก็สารภาพว่าตนก็วางแผนเรื่องเจ็บป่วยเช่นกัน คุณอัมพรไม่มีทางเลือกต้องพาภาดากลับกรุงเทพฯ น้องทรายเฝ้าดูการจากไปของภาดาด้วยหัวใจแตกสลายพร้อมกับภาพสุดท้ายที่เธอจะได้เห็น และการจากครั้งนี้คงเป็นการจากชั่วชีวิตถ้านายวินจะไม่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้เธอ จดหมายจากสมิต กาญจนรัตน์ถึงน้องทราย ผู้เป็นสุดที่รัก
ในจดหมายนั้นได้เขียนบอกว่าเขาได้จากเมืองไทยไปแล้วเพราะเขารู้ว่าคนที่น้องทรายรัก คือภาดา เขาจึงตัดสินใจคืนน้องทรายให้ภาดา เพราะเขารักเธอมากเกินกว่าจะทนเห็นเธอเป็นทุกข์ได้ จดหมายฉบับนั้นร่วงหล่นจากมือน้องทรายขณะที่เธอโลดแล่นลงจากบ้านเพื่อไปหยุดรถที่จะพาภาดาให้จากเธอไปชั่วนิรันดร และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ชายหนุ่มรีบลงจากรถวิ่งเข้ามาสวมกอดหญิงสาวที่ยืนน้ำตาไหลรินด้วยความสุข
ในม่านเมฆที่เคยขวางกั้นบดบังชีวิตและความรักของทั้งสองได้สลายลงแล้ว
รายชื่อนักแสดง “รักในม่านเมฆ”
ธนพล นิ่มทัยสุข แสดงเป็น ภาดา
พีชยา วัฒนามนตรี “ วาลิกา หรือ น้องทราย
ตะวัน จารุจินดา “ อริน
กฤษณกันต์ มณีผกาพันธ์ “ สมิต กาญจนรัตน์
รพีภัทร เอกพันธ์กุล “ เฉลิมชัย
ธัญยกันต์ ธนกิตติ์ธนานนท์ “ โฉมพิไล
มณีนุช เสมรสุต “ อัมพร
ไพโรจน์ สังวริบุตร “ วิน ศิรวิทย์
ตระการ พันธุมเลิศรุจี “ อำนาจ
เฉลิมพร พุ่มพันธ์วงศ์ “ ภีม
ปนัดดา โกมารทัต “ เฉลา
จตุรวิทย์ คชน่วม “ บุญเทิด
พงศ์ประยูร ราชอภัย “ นายแพทย์สุเมธ
ตฤณ เศรษฐโชค “ ภูบาล
วชิรา เพิ่มสุริยา “ แจ่ม
น้ำทิพย์ เสียมทอง “ ปลั่ง
พจนีย์ ใยละออ “ เอียด
สุรจิต บุญญานนท์ “ แผ้ว
บทประพันธ์: บุษยมาส
บทโทรทัศน์: นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
กำกับการแสดง: วัชรา สังข์สุวรรณ
ควบคุมการผลิต: สยม สังวริบุตร
รักในม่านเมฆ ออกอากาศทุกวัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สี ♦