เรื่องย่อละคร : รักในม่านเมฆ

เรื่องย่อละคร : รักในม่านเมฆ

1

       หลังจากภาดา อภิรักษ์ภูบาล (ธนพล  นิ่มทัยสุข) จบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อม  โฉมพิไล (ธัญยกันต์  ธนกิตติ์ธนานนท์) ภรรยาสาวสวยที่แต่งงานกัน ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่ง  คุณอัมพร  (มณีนุช เสมรสุต) มารดาของภาดาที่รู้สึกว่าลูกชายของเธอทำสิ่งนี้ไม่ถูกต้องยิ่งโดยเฉพาะไม่บอกกล่าวให้เธอรู้ก่อน  แต่ด้วยความสวยงามของโฉมพิไลบวกกับพื้นฐานครอบครัวเป็นผู้ดีเก่าที่มีฐานะร่ำรวยทำให้คุณอัมพรยอมรับลูกสะใภ้คนนี้ได้ทันทีและเต็มใจมาก  ซึ่งต่างจาก   อำนาจ  (ตระการ  พันธุมเลิศรุจี) น้องชายของคุณอัมพรที่กลับไม่พอใจและท้วงติงคุณอัมพรในเรื่องที่ภาดามีพันธะแล้ว ตามข้อตกลงของ  ภูบาล (ตฤณ  เศรษฐโชค) บิดาของภาดาที่เสียชีวิตไปแล้ว กับ  นายวิน   ศิรวิทย์ (ไพโรจน์  สังวริบุตร) เพื่อนสนิทของภูบาล และเป็นบิดาของ  วาลิกา หรือ น้องทราย (พีชยา  วัฒนามนตรี) ซึ่งพันธะนั้น เกิดจากเงินจำนวนสิบล้านบาทที่นายวินให้ภูบาลมาลงทุนทางธุรกิจที่ขาดทุนย่อยยับ ทำให้ภูบาลไม่สามารถใช้หนี้คืนได้  

แต่นายวินกลับยกหนี้ให้โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าภาดาจะต้องแต่งงานกับน้องทรายซึ่งคุณอัมพรยอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้  เพราะถึงแม้นายวินจะร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐีก็ตาม  แต่ก็เป็นเศรษฐีบ้านนอก ไม่มีสกุล  ไม่คู่ควรกับกับสกุลเก่าแก่อย่างอภิรักษ์ภูบาล   หนำซ้ำยังมีลูกสาวเป็นง่อยโปลิโออีกด้วย    คุณอัมพรจึงพยายามหลีกเลี่ยงเงื่อนไขนี้มาตลอดหลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิตไปแล้ว   อีกทั้งพยายามที่จะไม่ยอมชดใช้หนี้สินอีกด้วย    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ภาดาไม่เคยรู้เรื่องเลยและคุณอัมพรก็มีเจตนาปิดบัง  เพราะตั้งแต่นายภูบาลเสียชีวิตไปร่วมสิบกว่าปีนั้นนายวินไม่เคยมาทวงสัญญานี้เลยคุณอัมพรจึงนิ่งเฉยเสีย   จนวันหนึ่งนายวินส่งข่าวว่าจะมาพบคุณอัมพรในสัปดาห์ที่จะมาถึงคุณอัมพรจึงจำเป็นต้องบอกภาดาทั้งเรื่องหนี้สินและเรื่องแต่งงานกับน้องทราย    

ภาดาจำน้องทรายได้ทันทีพร้อมกับมีใบหน้าอ่อนโยนเมื่อคิดถึงเด็กหญิงรูปร่างบอบบาง   นัยน์ตาโศกที่เปล่งประกายระยิบระยับเมื่อพบเขา   เพราะน้องทรายถือเขาเป็นพี่ชายใจดีมีเมตตาต่อเธอในทุกๆ เรื่อง   น้องทรายยอมรับว่าเธอมีโลกแคบเพียงแค่รถเข็นหนึ่งคันที่พาเธอไปได้เพียงแค่อาณาเขตของบ้านบิดาเธอเท่านั้น

ความจริงแล้วน้องทรายเป็นโปลิโอมาตั้งแต่อายุ  5  ขวบ  ซึ่งนับจากวันนั้นมาเธอก็มีชีวิตที่เงียบเหงาอยู่กับบิดาและพี่เลี้ยงชื่อ  แจ่ม (วชิรา เพิ่มสุริยา) ที่รักเธอยิ่งกว่าชีวิตของตนเองยิ่งนัก  กับพี่ชายที่มากับลุงภูบาลเพื่อเยี่ยมบิดาและตัวเธอที่จังหวัดจันทบุรี  ซึ่งพี่ชายคือผู้เปิดโลกกว้างให้เธอเห็นด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนและแววตาอบอุ่นของเขานี้เองที่ทำให้ชีวิตของเธอกลับสดใสมีชีวิตชีวาพร้อมต่อสู้ต่อไป

และแล้วนายวินก็ได้มาพบกับคุณอัมพรและภาดาตามที่ได้นัดไว้แล้ว   โดยคุณอัมพรมีท่าทางไม่ยอมสมาคมกับนายวิน  แม้แต่จะร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน   แต่นายวินกลับไม่ถือสาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับกิริยาเหล่านั้นของคุณอัมพร  และเมื่อภาดากับนายวินมีโอกาสได้คุยกันตามลำพัง  ภาดาจึงขอผัดผ่อนเรื่องหนี้สิน   แต่นายวินกลับขอร้องให้ภาดารีบแต่งงานกับน้องทรายด้วยเหตุผลที่ทำให้ภาดาพูดไม่ออกนั่นคือ นายวินเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายคาดว่าจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน  1  ปี   ฉะนั้น ถ้าหากน้องทรายไม่รีบแต่งงานมีครอบครัวเสียก่อนเขาก็คงจะนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่  

ดังนั้นเขาจึงอยากฝากฝังน้องทรายไว้กับภาดา   แม้ว่าการแต่งงานจะเป็นเพียงในนามนายวินก็ยอมทั้งสิ้น  เพราะเขามั่นใจว่าภาดาจะดูแลน้องทรายได้เป็นอย่างดี   ภาดาเฝ้าครุ่นคิดว่าจะหาทางออกอย่างไรดีที่จะปฏิเสธนายวินอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น  ขณะที่คุณอัมพรเองก็คัดค้านชนิดหัวชนฝาจะไม่มีวันยอมให้ภาดาแต่งงานเป็นลูกเขยเศรษฐีบ้านนอกที่เธอประณามหยามเหยียดว่าเป็นไพร่ไม่มีสกุลรุนชาติอย่างนายวินโดยเด็ดขาด  และเธอก็ยืนยันอีกด้วยว่าจะไม่ยอมเสียบ้านวัชรเวศน์เช่นกันแม้ว่าจะไม่มีเงินก้อนโตมาใช้หนี้ก็ตาม 

ซึ่งทางออกมีประการเดียวคือภาดาต้องหาเงินสิบล้านบาทมาใช้หนี้ให้ได้  โดยภาดาได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทชื่อ   อริน (ตะวัน  จารุจินดา) โดยให้หาคนมารับจำนองบ้านวัชรเวศน์แต่ก็ไม่สำเร็จ คุณอัมพรบอกให้ภาดาขอความช่วยเหลือจากโฉมพิไล   โดยคุณอัมพรก็ไม่รู้เลยว่าครอบครัวของโฉมพิไลอันประกอบด้วย  คุณนายเฉลา (ปนัดดา  โกมารทัต) มารดา  กับ  นายเฉลิมชัย  (รพีภัทร  เอกพันธ์กุล) พี่ชายกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าครอบครัวของภาดาเสียอีกเพราะมีหนี้สินล้นพ้นตัว  เนื่องจาก  นายภีม (เฉลิมพร  พุ่มพันธ์วงศ์) บิดาเป็นนักการพนันตัวยง และสร้างหนี้สินไว้จนแม้แต่บ้านก็หลุดจำนองไปนานแล้ว   เจ้าหนี้หลายรายก็คอยตามทวงหนี้อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย  

อย่างไรก็ตามภาดาปฏิเสธที่จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากโฉมพิไลแต่ยังคงยืนยันที่จะขายบ้านวัชรเวศน์เหมือนเดิมทำให้คุณอัมพรหงุดหงิดกับข้ออ้างเรื่องเสียศักดิ์ศรีของลูกชาย ทำให้แม่ลูกต่างมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง  ทั้งสองต่างไม่ยอมกันและกัน   แต่ในที่สุดเมื่อไม่มีหนทางอื่นใดวัชรเวศน์จึงเป็นคำตอบ

สุดท้ายที่จะจบปัญหานี้ได้   คุณอัมพรจึงได้เฝ้าแต่คิดถึงวันที่จะต้องออกจากคฤหาสน์ที่เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาของเธอแล้วรู้สึกใจหายทำให้ความเกลียดชังนายวินและน้องทรายเพิ่มพูนขึ้นเต็มหัวใจหาความปราณีไม่ได้อีกแล้ว

เวลาเดียวกันภาดาก็ไม่ละความพยายามที่จะหาคนมาซื้อวัชรเวศน์ต่อไป จนวันหนึ่งคุณอัมพรได้มารู้ความจริงจากนายวินว่า  นายภูบาลหมั้นหมายน้องทรายด้วยอุบะเพชรเก่าแก่ของตระกูลที่มีมูลค่ามหาศาล   ถ้าภาดาไม่แต่งงานกับน้องทรายอุบะเพชรของหมั้นก็จะตกเป็นของฝ่ายหญิงตามประเพณีไทย   ความจริงแล้วอุบะเพชรเส้นนี้คุณอัมพรเคยสงสัยมานานแล้วว่านายภูบาลได้เก็บซ่อนไว้ที่ไหนเพราะเธอไม่เห็นมาหลายปีแล้ว   จนกระทั่งนายภูบาลเสียชีวิตเธอก็ยังค้นหาไม่พบ เธอเพิ่งมารู้ความจริงจากนายวินนี้เอง  และด้วยความเสียดายทั้งบ้านและอุบะเพชรทำให้คุณอัมพรเริ่มคิดแผนการชั่วร้ายขึ้นในใจทันที  แผนการชั่วร้ายนี้เริ่มต้นที่โฉมพิไลก่อน 

โดยคุณอัมพรเล่าเรื่องเพียงสัญญาพิสดารระหว่างเพื่อนรักสองคนคือนายภูบาลกับนายวิน   โดยเธอไม่เล่าเรื่องหนี้สินแต่อย่างใดทั้งสิ้นเพราะกลัวเสียหน้า  และเมื่อโฉมพิไลฟังจบเธอรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดในความคิดของเธอ   แต่นั่นยังไม่เท่าไรเธอกลับตกใจสุดขีดเมื่อได้ฟังคำพูดสุดท้ายของคุณอัมพร  คือคุณอัมพรขอให้ภาดาแต่งงานกับน้องทรายเพียงในนามเป็นระยะเวลา  1  ปี   เมื่อนายวินตายแล้วคุณอัมพรก็จะให้ภาดาหย่าขาดกับน้องทรายทันที   คำปฏิเสธของโฉมพิไลขาดหายไปทันทีเช่นกันเมื่อคุณอัมพรวางแหวนเพชรน้ำงามมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองล้านบาทเป็นรางวัลหากเธอตกลง  ความโลภไม่เข้าใครออกใคร โฉมพิไลยินยอมกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอเป็นเวลา  1  ปี  ในที่สุดภาดาแต่งงานกับน้องทราย   งานแต่งงานจัดอย่างเรียบง่ายที่สุด   ภาดาไม่ต้องการให้โฉมพิไลเสียใจในการแต่งงานของเขาครั้งนี้ และในคืนวันส่งตัวน้องทรายขอร้องภาดาว่าในระหว่างที่เธออยู่ในฐานะภรรยาของภาดา  เธอขอให้ภาดาให้เกียรติเธอโดยไม่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นๆ อย่างเปิดเผยเพราะเธอไม่อยากให้ใครมาหัวเราะเยาะเธอ   ภาดานิ่งอึ้งไปทันที  

ภาดาเริ่มสงสัยและคิดว่าน้องทรายรู้เรื่องโฉมพิไลแล้วหรือ   แต่อีกความคิดหนึ่งคัดค้านเพราะทุกคนถูกสั่งอย่างเด็ดขาดให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ   แต่ทำไมน้องทรายจึงขอเช่นนี้ อย่างไรก็ตามภาดาก็รับคำขอนั้น   วันเวลาผ่านไปประมาณ   4   เดือนนับจากวันแต่งงาน   น้องทรายแน่ใจแล้วว่าคุณอัมพรเกลียดชังเธอมากเพียงไร  โดยดูได้จากการแสดงออกอย่างชัดเจนทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยเฉพาะคำเรียกแทนชื่อเธอว่านังง่อยทุกครั้ง   ซึ่งไม่เคยปิดบังในการถนอมน้ำใจของน้องทรายเลย   รวมทั้งคนใช้ต้นห้องของคุณอัมพรด้วย    และที่สำคัญคือสาวใช้ประจำตัวของโฉมพิไลชื่อปลั่ง (น้ำทิพย์  เสียมทอง)  มักทำหน้าที่สอดแนมความสัมพันธ์ระหว่างภาดากับน้องทรายโดยรายงานให้โฉมพิไลรู้ทุกระยะ   และมีเพียงคนเดียวที่น้องทรายเริ่มคลางแคลงและไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของเขาคือภาดานั่นเอง

เนื่องจากความนุ่มนวลอ่อนโยนที่เขาปฏิบัติต่อเธอ   รวมทั้งสายตาห่วงใยที่คอยจับจ้องเธอและกิริยาท่าทีประคับประคองเอาใจใส่ต่อเธอ  ทำให้น้องทรายพิศวง   พร้อมกันนั้นเธอก็ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเขาห่วงใยด้วยคุณธรรมประจำใจต่อผู้หญิงพิการเช่นเธอเท่านั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่อย่างใดทั้งสิ้น   ภาดาเท่านั้นที่รู้ดีว่าหัวใจของเขากำลังหวั่นไหวต่อความงามของน้องทราย   ต่อความบริสุทธิ์ในจิตใจ  และต่อความอ่อนหวานน่ารักของเธอ   น้องทรายเป็นเด็กสาวที่งดงามทั้งกายและจิตใจ   เธอไม่เคยแสดงกิริยาไม่พอใจหรือแง่งอนตามสิทธิของภรรยาเมื่อเขากลับบ้านดึก   เธอรู้จากคำบอกเล่าของเขาว่าเขาทำงานพิเศษที่บริษัท   ทั้งที่ความจริงคือเขาต้องไปหาโฉมพิไลทุกวัน   ทั้งที่ในจิตส่วนลึกของจิตใจนั้นเขาไม่ยอมรับกับตนเองว่าเขาคิดถึงน้องทรายอยู่เสมอแม้จะอยู่ในขณะที่เขากำลังมีความรักใคร่กับโฉมพิไลก็ตาม

วันที่ภาดาแน่ใจว่าเขารักน้องทรายคือวันที่เขาเห็น สมิต (กฤษณกันต์  มณีผกาพันธ์) บุตรชายของ นายแพทย์สุเมธ  (พงศ์ประยูร  ราชอภัย) หมอประจำตัวของน้องทรายมาเยี่ยม  จริงๆ  แล้วสมิตสนิทสนมกับน้องทรายมาตั้งแต่เด็ก  ภาพของน้องทรายที่ตื่นเต้นยินดีเมื่อเห็นสมิตนั้นคือภาพของทั้งสองคนคุยกันอย่างร่าเริง  และเหนือสิ่งอื่นใด มือทั้งสองของน้องทรายอยู่ในอุ้งมือของสมิต  ความรู้สึกเริ่มหึงหวงเพิ่งเป็นที่ประจักษ์แก่เขา  ณ เวลานี้ แต่เขาก็ยังอดปฏิเสธกับตนเองตลอดเวลาไม่ได้ว่าความรู้สึกเช่นนี้คือความรักแต่เป็นเพียงความสงสารเห็นใจและห่วงใยเท่านั้น   แต่เวลานี้เขาตระหนักแน่ชัดแล้วว่าเขารักน้องทราย   แม้ว่าเขายังเข้าใจผิดว่า เขานั้นยังคงรักโฉมพิไลอยู่เต็มหัวใจอยู่เช่นเดิม 

เมื่อเขาเริ่มรู้จักหัวใจตนเองเขาจึงดูแลเอาใจใส่น้องทรายมากขึ้น   ซึ่งสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อน้องทรายนั้นหาหลุดพ้นจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของปลั่งสักวินาทีเดียว  จึงทำให้วันหนึ่งน้องทรายต้องประจันหน้ากับโฉมพิไลที่ส่งสายตาดุดันที่จ้องหน้าเธอด้วยความอาฆาตมาดร้าย   พร้อมทั้งประกาศว่าเธอคือภรรยาคนแรกของภาดา   เวลาต่อมาเป็นความยากลำบากของภาดามากขึ้นนั่นคือปฏิกิริยาเฉยเมยของน้องทราย    ความหึงหวงเอาเรื่องของโฉมพิไล ความจงเกลียดจงชังของคุณอัมพร   การไปมาหาสู่น้องทรายบ่อยขึ้นของสมิต   และเหนือสิ่งอื่นใด อรินเพื่อนรักของเขาก็มีท่าทีพึงใจน้องทรายอย่างเห็นได้ชัด   สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจของภาดาว้าวุ่นไม่เป็นสุข   เขาจัดการอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว  ไม่ได้แม้แต่จะใช้สิทธิ์ความเป็นสามีเพื่อป้องกันภรรยาจากชายอื่น   ความกลัดกลุ้มเหล่านี้จึงทำให้ภาดาใช้เวลาอยู่คนเดียวตามร้านอาหาร   ผับ บาร์  และบ้านเพื่อน  

จนวันหนึ่งในบาร์แห่งหนึ่ง  เขาได้ยินเสียงผู้ชายสองคนคุยกันโดยพาดพิงถึงลูกสาวเศรษฐีเมืองจันท์ที่พิการทำให้ภาดาตั้งใจฟัง  เสียงหนึ่งนั้นคือสมิต  อีกเสียงคือ  เอกชัย  ญาติห่างๆ  ของสมิตที่ถามถึงคู่รักสาวน้อยที่สวยราวเทพธิดาแต่พิการ   คำตอบของสมิตทำให้ภาดาต้องร้อนผ่าวไปทั้งตัวเพราะสมิตตอบว่าเขารักน้องทรายมาตั้งแต่เด็ก  และขณะนี้เขาก็ยิ่งรักน้องทรายมากขึ้น   น้องทรายเองก็ไม่ได้รังเกียจเขาเลย  ซึ่งเขาก็ยินดีรอน้องทรายจนกว่าถึงวันที่น้องทรายเป็นอิสระ   คืนนั้นภาดากลับถึงบ้านด้วยความเมามายจนแทบทรงตัวไม่อยู่   เขาเข้าไปหาน้องทรายและล่วงเกินเธอด้วยพิษรักแรงหึง   แต่น้องทรายไม่ยินยอมต่อสู้จนสุดฤทธิ์จนภาดาต้องจำยอมหยุด   และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาภาดาก็กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับน้องทราย   เธอไม่พูดด้วย   ไม่มองหน้าเขา   ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนสำหรับเธออีกต่อไป   มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีสนิทสนมกับสมิต   อริน หรือแม้แต่เฉลิมชัยพี่ชายของโฉมพิไลที่พาตัวเข้ามาใกล้ชิดกับน้องทรายเพราะหลงรักในความสวยงามของเธอ  

เฉลิมชัยเองก็อดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ดีๆ  น้องทรายที่เคยเฉยเมยจนอาจกล่าวได้ว่ารังเกียจเฉลิมชัยอย่างออกนอกหน้า  แต่ตอนนี้กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับเขาเป็นอย่างดี   ภาดาเองก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน   ดูเป็นคนเฉยเมยต่อทุกสิ่งเรียกได้ว่าไร้หัวใจ   ทำให้โฉมพิไลครุ่นคิดด้วยความแค้นใจ  เพราะเขาเงียบขรึม ไม่แสดงความรักกับเธอเหมือนอย่างเคย   เธอรู้ว่าเป็นเพราะใครแผนการแก้แค้นจึงเกิดขึ้น  โฉมพิไลรู้ว่าน้องทรายมีแมวที่เธอรักมากชื่อสีเงิน   เธอจึงพาเจ้าซาตานสุนัขพันธุ์ดุของเธอไปที่บ้านวัชรเวศน์ เสียงกรีดร้องดังของเด็กสาวใช้ในบ้านทำให้แจ่มพาน้องทรายออกมาทันเห็นเจ้าซาตานกำลังขย้ำสีเงินอย่างมันเขี้ยว   น้องทรายได้แต่ร้องห้ามและทำท่าจะขยับตัวลุกขึ้นไปห้ามแต่แจ่มกดบ่าของน้องทรายไว้ทัน   ทั้งสองต่างมองตากัน   สายตาของน้องทรายมีแต่ความแค้นใจเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย    คุณอัมพรเมื่อรู้เรื่องทั้งหมดกลับโทษและดุว่าน้องทรายที่ไม่ดูแลสีเงินให้ดีกลับปล่อยออกมาเพ่นพ่านรู้อยู่แล้วว่าสุนัขกับแมวไม่ถูกกัน  

แม้น้องทรายจะชี้แจงเหตุผลว่าเธอขังสีเงินไว้ในห้องนอนตลอดเวลาคุณอัมพรไม่เชื่อและหาว่าเธอโกหก   น้องทรายจำต้องนิ่งทั้งที่ใจสั่นระริกด้วยความโกรธ น้องทรายตัดสินใจส่งข่าวให้นายวินเดินทางมาที่วัชรเวศน์โดยด่วน   และเมื่อนายวินมาถึง   เธอก็บอกความในใจว่าเธอทนไม่ไหวแล้วที่จะทำตามแผนของพ่อ   เธอขอคำตอบจากพ่อว่าเหตุใดพ่อจึงส่งให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้านที่มีแต่คนใจดำ   นายวินได้แต่ตอบว่าให้น้องทรายอดทนและวันหนึ่งจะรู้ถึงเหตุผลของพ่อ   เธอพูดพลางร้องไห้พลางบอกพ่อว่าเธอจะไม่ทนอีกต่อไป   เธอลุกขึ้นเดินอย่างปราดเปรียวเพื่อจะออกจากห้องนอน   จะไปบอกทุกคนว่าเธอไม่ได้เป็นง่อยอย่างที่ทุกคนเข้าใจ   เธอหายจากโรคร้ายมานานแล้ว  แต่พ่อขอให้เธอทำย่างนี้เพื่อเหตุผลอะไรเธอก็จะไม่ขอฟังเหตุผลอีกแล้ว  นายวินได้แต่ปลอบโยนและขอร้องบุตรสาวให้เชื่อพ่ออีกสักครั้งเพราะพ่อรักและหวังดีต่อลูกสาวจริงๆ   ในที่สุด น้องทรายจึงต้องจำยอมอีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาภาดาเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของน้องทรายอย่างเด่นชัดขึ้น   จากเด็กสาวที่อ่อนโยน   สงบเสงี่ยมเจียมตัว  กลับกลายเป็นเธอแข็งแกร่งขึ้น  โต้เถียงมากขึ้น  เธอไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างของใครก็ตามในวัชรเวศน์ที่เกลียดชังเธออีกต่อไป   เธอต่อกรกับโฉมพิไลที่คอยวนเวียนมาหาเรื่องเธออย่างสะใจ   โฉมพิไลก็ไม่สามารถทำอะไรน้องทรายได้ถนัดเพราะน้องทรายมีสิทธิ์มากกว่าเพราะอยู่ในฐานะภรรยาที่ถูกกฎหมาย  ส่วนคุณอัมพรเองก็ได้แต่เฝ้ามองและครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้อุบะเพชรคืนจากน้องทราย  ซึ่งมีวิธีเดียวเท่านั้นคือทำให้น้องทรายเจ็บใจและถอยไปจากชีวิตของภาดา เพราะน้องทรายได้เคยลั่นวาจาไว้แล้วว่า  วันที่เธอสิ้นสุดความเป็นภรรยาของภาดา เธอจะคืนอุบะเพชรเส้นนั้นทันที  

ในขณะที่น้องทรายกำลังสะใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น  ภาดาได้แต่เศร้าหมองใจ  เพราะน้องทรายไม่เป็นน้องทรายของพี่ชายอย่างเดิมเสียแล้ว   โฉมพิไลเห็นท่าทีของภาดาก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขากำลังหลงรักภรรยาแต่ในนามเสียแล้ว   โฉมพิไลโกรธแค้นจนแทบกระอักเป็นเลือด   ท่าทียั่วยวนผูกมัดภาดาด้วยเล่ห์ของโฉมพิไลไม่มีผลอีกต่อไป   ภาดาได้แต่เศร้าซึมและเงียบขรึมผิดปกติ   โฉมพิไลหมดปัญญาที่จะดึงภาดากลับมาสู่อ้อมแขนของเธออย่างเก่าได้อีกแล้ว  ในเวลานี้เอง บุญเทิด (จตุรวิทย์  คชน่วม) สามีคนแรกของโฉมพิไลที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งทั้งสองเป็นวัยรุ่นใจแตกจนต่อมาเธอท้องและทำแท้งในที่สุด  

ในช่วงนั้นบุญเทิดยากจนจึงเป็นที่รังเกียจของครอบครัวโฉมพิไล   แต่ขณะนี้บุญเทิดร่ำรวยเป็นพ่อเลี้ยงอยู่ภาคเหนือ  คุณนายเฉลาจึงตื่นเต้นกับเงินและของกำนัลของบุญเทิด  แม้แต่โฉมพิไลเองบุญเทิดก็ปรนเปรอด้วยเครื่องเพชรราคาแพง   ดังนั้นวันหนึ่งโฉมพิไลจึงยินยอมเป็นชู้กับสามีเก่าด้วยความเต็มใจ   คุณอัมพรดำเนินตามแผนที่วางไว้เพื่อจะให้น้องทรายออกไปจากวัชรเวศน์อย่างแยบยล   เธอร่วมมือกับเฉลิมชัยโดยใส่ความว่าภาดาสนับสนุนให้เฉลิมชัยมาแกล้งทำเป็นรักน้องทราย   แม้แต่ปลั่ง ภาดาก็จ้างให้หาเรื่องกับน้องทรายเพราะจะได้ทำให้น้องทรายออกไปจากบ้านโดยเร็ว   นอกจากนี้คุณอัมพรยังพูดให้น้องทรายรู้ว่านายวินพ่อของเธอนั้นซื้อผู้ชาย  คือภาดาให้แต่งงานกับเธอด้วยมูลค่าสิบล้านบาท   น้องทรายตัวชาด้วยความเสียใจ  เธอสั่งแจ่มให้เก็บของ   ดังนั้นเมื่อภาดากลับจากทำงานในวันหนึ่งจึงพบว่าน้องทรายและแจ่มกลับไปบ้านเมืองจันทบุรีแล้วพร้อมกับทิ้งใบหย่าไว้ให้เขาและจดหมายลาที่ปราศจากเยื่อใย  

เมื่อภาดาตามไปหาเธอที่เมืองจันท์เขาก็ต้องตกใจที่เห็นเธอเดินได้อย่างปราดเปรียวไม่มีเค้าของคนพิการมาแต่เด็กใดๆ  เลย  เขาได้รับรู้ความจริงจากเธอว่าเธอหายจากเป็นง่อยโปลิโอมาตั้งแต่อายุ  10  ขวบแล้ว  แต่ที่ทำเช่นนี้เพราะเป็นแผนของพ่อเธอที่ต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจที่เขาจะรักดูแลเธอตลอดไปตามที่ได้สัญญาไว้หรือไม่   พร้อมกันนั้นเธอก็แจ้งข่าวให้เขารู้อีกด้วยว่าเธอได้หมั้นกับสมิตเรียบร้อยแล้ว   ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาต้องซมซานกลับกรุงเทพฯ ทันที แต่ก่อนที่จะกลับ เขาได้แสดงความยินดีกับน้องทรายพร้อมกับบอกความจริงที่เขาอยากบอกเธอมานานแล้วว่าเขารักเธอ  

เคราะห์กรรมที่โหมเข้ามาหาภาดายังไม่หมดสิ้น  เพราะในไม่ช้าเขาก็ได้รู้ความจริงว่าโฉมพิไลเป็นชู้กับบุญเทิด   ภาดารู้ความจริงนี้ก็ด้วยนัยน์ตาของตนเอง  นั่นคือเขาสะกดรอยตามโฉมพิไลไปยังบ้านในสวนลึกที่บุญเทิดใช้เป็นรังรักกับเธอ   เขาทนฟังเสียงบาดใจไม่ได้จึงบุกเข้าไปในขณะที่สองคนกำลังระเริงรักต่อกัน   ขณะเดียวกันก็ได้เกิดการชกต่อยของชายทั้งสอง  ภาดาเจ็บหนักไม่แพ้บุญเทิด   

เขากลับบ้านกลับห้องนอนที่ปราศจากเงาของน้องทราย   ความเสียใจยิ่งทับทวีคูณขึ้นเมื่อตระหนักดีว่าบัดนี้ทุกอย่างได้พังทลายไปสิ้น   เขาได้ปล่อยให้ดวงแก้วล้ำค่าในมือหลุดไปเป็นสมบัติของชายอื่นเสียแล้ว   วันต่อมาทุกคนในบ้านวัชรเวศน์ต้องจ้าละหวั่นหาตัวภาดา   เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆ  กับมีข่าวซุบซิบในสังคมว่าโฉมพิไลไปฮันนิมูนที่ญี่ปุ่นพร้อมกับบุญเทิด

ณ  เมืองจันทบุรีในอีกสามเดือนข้างหน้า   สมิตจะต้องเตรียมตัวไปหาลูกค้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์   ขณะเดียวกันข่าวเรื่องภาดาหายตัวไปได้มาถึงเมืองจันท์โดยน้องทรายรับรู้ข่าวนี้อย่างสงบนิ่ง  เก็บความห่วงใยไว้ในใจอย่างมิดชิด  สามเดือนผ่านไปสมิตเดินทางไปประจวบคิรีขันธ์ แต่วันหนึ่งเมื่อน้องทรายกลับมาจากข้างนอกบ้านพบแจ่มทำหน้าตาแปลกๆ รออยู่หน้าบ้าน เธอจึงเกิดความสังหรณ์ใจ  พอเดินเข้าไปภายในบ้านน้องทรายพบภาดาอยู่ในสภาพทรุดโทรม  ผอมซูบเพราะป่วยหนักด้วยไข้ป่าผสมมาเลเรีย   ภาดากระซิบบอกน้องทรายว่าเขาอยากพบน้องทรายมากเพื่อขอโทษในเรื่องราวทั้งหมดก่อนตาย  น้องทรายกอดพี่ชายของเธอไว้ในอ้อมแขนและบอกความในใจที่เก็บไว้มานานว่าถ้าพี่ชายตายก็เท่ากับน้องทรายไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วเช่นกัน   แล้วจากนั้นน้องทรายก็รีบพาภาดาไปโรงพยาบาลทันที  เธอกำชับหมอว่าให้รักษาภาดาจนสุดความสามารถ

วันเวลาผ่านไป อาการของภาดาดีขึ้นอย่างช้าๆ  น้องทรายไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากเฝ้าอยู่ข้างเตียงของภาดาพร่ำรำพันให้เขาหาย   ภาดาทำท่าเหมือนได้ยินคำพูดของเธอ เขาจึงพึมพำเสียงแหบแห้งเกือบไม่เป็นคำว่าเขารักน้องทรายแต่น้องทรายไม่รักเขา เธอรักสมิตและเกลียดพี่ชายของเธอ น้องทรายซบหน้าสะอื้นกับอกของภาดากระซิบว่าน้องทรายไม่ได้รักสมิตและน้องทรายไม่ได้เกลียด พี่ชาย   เสียงนั้นแม้จะเป็นเสียงกระซิบแต่มันดังกึกก้องในโสตประสาทของชายที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องนั้น  สมิต  กาญจนรัตน์นั่นเอง   รุ่งขึ้นคุณอัมพรมาถึงจันทบุรีเพื่อขอโทษคุณวินและน้องทราย พร้อมทั้งขอร้องคุณวินให้ช่วยภาดาด้วย   ถ้าภาดาผิดหวังจากน้องทรายในครั้งนี้เธอเกรงว่าภาดาอาจจะไม่รอดชีวิตเพราะไม่มีกำลังใจเหลืออยู่เลย  

คุณวินแม้จะเห็นใจแต่คำตอบก็คือจนใจเหลือเกินเพราะน้องทรายหมั้นกับสมิตแล้ว และพร้อมกันนี้คุณวินเองก็สารภาพว่าตนก็วางแผนเรื่องเจ็บป่วยเช่นกัน  คุณอัมพรไม่มีทางเลือกต้องพาภาดากลับกรุงเทพฯ น้องทรายเฝ้าดูการจากไปของภาดาด้วยหัวใจแตกสลายพร้อมกับภาพสุดท้ายที่เธอจะได้เห็น  และการจากครั้งนี้คงเป็นการจากชั่วชีวิตถ้านายวินจะไม่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้เธอ  จดหมายจากสมิต  กาญจนรัตน์ถึงน้องทราย ผู้เป็นสุดที่รัก 

ในจดหมายนั้นได้เขียนบอกว่าเขาได้จากเมืองไทยไปแล้วเพราะเขารู้ว่าคนที่น้องทรายรัก คือภาดา   เขาจึงตัดสินใจคืนน้องทรายให้ภาดา  เพราะเขารักเธอมากเกินกว่าจะทนเห็นเธอเป็นทุกข์ได้   จดหมายฉบับนั้นร่วงหล่นจากมือน้องทรายขณะที่เธอโลดแล่นลงจากบ้านเพื่อไปหยุดรถที่จะพาภาดาให้จากเธอไปชั่วนิรันดร  และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ชายหนุ่มรีบลงจากรถวิ่งเข้ามาสวมกอดหญิงสาวที่ยืนน้ำตาไหลรินด้วยความสุข

ในม่านเมฆที่เคยขวางกั้นบดบังชีวิตและความรักของทั้งสองได้สลายลงแล้ว 


รายชื่อนักแสดง “รักในม่านเมฆ”


ธนพล        นิ่มทัยสุข                  แสดงเป็น   ภาดา
พีชยา        วัฒนามนตรี                      “        วาลิกา หรือ น้องทราย
ตะวัน        จารุจินดา                          “        อริน
กฤษณกันต์    มณีผกาพันธ์                “        สมิต  กาญจนรัตน์
รพีภัทร        เอกพันธ์กุล                     “        เฉลิมชัย
ธัญยกันต์    ธนกิตติ์ธนานนท์             “        โฉมพิไล
มณีนุช        เสมรสุต                          “        อัมพร
ไพโรจน์    สังวริบุตร                         “        วิน  ศิรวิทย์
ตระการ        พันธุมเลิศรุจี                  “        อำนาจ
เฉลิมพร    พุ่มพันธ์วงศ์                      “        ภีม
ปนัดดา    โกมารทัต                         “        เฉลา
จตุรวิทย์    คชน่วม                           “        บุญเทิด
พงศ์ประยูร    ราชอภัย                      “        นายแพทย์สุเมธ
ตฤณ        เศรษฐโชค                      “        ภูบาล
วชิรา        เพิ่มสุริยา                         “        แจ่ม
น้ำทิพย์    เสียมทอง                        “        ปลั่ง
พจนีย์        ใยละออ                         “        เอียด
สุรจิต        บุญญานนท์                    “        แผ้ว 


บทประพันธ์:   บุษยมาส
บทโทรทัศน์:  นันทวรรณ  รุ่งวงศ์พาณิชย์
กำกับการแสดง:  วัชรา  สังข์สุวรรณ
ควบคุมการผลิต:  สยม    สังวริบุตร

 

รักในม่านเมฆ  ออกอากาศทุกวัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Gallery ที่เกี่ยวข้อง

Comments