สำหรับโปรเจ็คท์หนัง ชื่อว่า “ลับลวงแหล” ที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของจอมลวงโลก “นาธาน โอมาน” ซึ่งเป็นหนังในโปรเจคของอดีตผู้จัดการของนาธานอย่าง “ชิ-อนุชา ลังประเสริฐ” ล่าสุดก่อนหน้านี้หนึ่งในนักแสดงที่ได้รับการทาบทาม “อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์” ซึ่งทราบมาว่าปฏิเสธไปแล้วที่จะไม่เล่นหนังเรื่องนี้ ยังคงเหลืออยู่อีกหนึ่งหนุ่มพ่อลูกอ่อน “เต๋า-สมชาย เข็มกลัด” ที่ตอนนี้เพิ่งออกมาจากสถานกักขังได้เพียงไม่นาน มาให้คำตอบว่าตกลงจะเล่นหนังเรื่องนี้หรือไม่...
ตอนนี้ได้รับการทาบทามเล่นหนังจาก “ชิ อนุชา” แล้วใช่ไหม?
ได้รับการทาบทามแล้วครับ พร้อมทรีทเม้นท์อย่างละเอียดผมก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้ละกัน คือในฐานะที่ผมกับพี่ชิสนิทกันมานานมาก ผมก็เลยบอกว่าให้มีบทจริงๆ มาอ่านก่อน มีใครเล่นบ้าง จังหวะสุดท้าย อันนี้เราก็คุยกันในฐานะนักแสดงคนนึงนะครับ มีคนทาบทามให้เล่นหนังเราก็ดูบทเราต้องดู แล้วยิ่งคนคุ้นเคยผมก็ยิ่งพิจารณา ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องรอดูสุดท้ายว่าจะมีบทอย่างไร เป็นยังไงใครเล่นบ้าง”
มีความสนใจหนังตัวนี้มากน้อยแค่ไหน?
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ครับ คือถามผม ผมก็เปิดกว้างในทุกๆ งาน แต่ตอนนี้ผมมีงานหนังผมเล่นกับ ‘พี่พจน์ อานนท์’ เรื่อง ‘ปล้นนะยะ2’ อีกเรื่องหนึ่งก็เล่นของพี่ขม ทำกับค่าย ‘บาแรมยู’ เรื่อง ‘อันธพาล’ ก็จะเป็นหนังย้อนยุค”
ตอนนี้คือคิดว่าจะพิจารณาเรื่อง “ชิ” ทาบทามหรือเปล่า?
“คือตอนนี้ผมรับพิจารณา แต่ตอนที่คุยกันมันไม่ใช่เป็นบท ยังไม่ได้สรุปว่าใครเล่นบ้าง ใครกำกับใครทำ ก็คือยังอยู่ฐานะของการพูดคุยกัน ผมก็นำเสนอในการเป็นนักแสดง ที่เหลือก็คงต้องเป็นในด้านของความคิดของผู้กำกับคนที่จากการเล่นหนังแค่นั้นเอง”
บทบาทที่เล่นเป็นการเล่นเหมือนเรื่องราวจริง?
“ไม่หรอกครับ การแสดงก็คือการแสดง จริงๆ ผมว่าดีด้วยซ้ำคือเค้าจะได้แยกแยะออกระหว่างเรื่องจริงกับการแสดง อีกเรื่องผมเชื่อว่าชีวประวัติของคนหลายๆ คนในเมืองนอกเค้าก็เอามาทำกัน ถ้าถามผมผมก็ยังรับไว้พิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ตอบไรทั้งนั้น”
ที่รับไว้เพราะความเกรงใจเหรือเปล่า?
“ไม่ครับ คือทุกอย่างอยู่ที่ความเหมาะสม ผมได้รับการทาบทามมจริง แต่ผมจะไม่ตัดสินใจจนกว่าผมจะได้คำตอบที่มีอยู่ในใจ แล้วผมจะตอบได้ว่าผมรับหรือไม่รับ แล้วบทที่ผมเล่นที่มีพี่ชิ ซึ่งผมเจอพี่เค้ามา 20 กว่าปี ผมบอกเลยว่าพี่มีไรค่อยคุยกัน”
พร้อมกันนี้นายเต๋าสมชายจรดปลายเท้า ยังได้พูดถึงเหตุการณ์ที่ตนต้องตกไปอยู่ในสถานกักขังเป็นระยะเวลา 15 วัน ให้ฟังด้วยว่า...
เข้าไปอยู่ในสถานกักขังได้อะไรกลับมาบ้าง?
“ผมต้องบอกว่าของผมเป็นสถานกักขังไม่ใช่เรือนจำ คือจริงๆ ผมว่าเป็นประสบการณ์ คือ ณ วันนี้ผมได้รับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ต่อไปผมคงต้องพูดถึงเรื่องวันนี้เราจะทำอะไร แล้วพรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งของผมมันเป็นแค่การกักขัง ประวัติอะไรก็ไม่มี ถือว่าเราก็ได้สิ้นสุดกันแล้ว ถือว่าไม่มีปัญหา”
รู้สึกอย่างไรกับการได้เรียนรู้ตรงนั้น?
“ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตครับ ในชีวิตที่ผ่านเข้ามาถือว่าผ่านเข้ามาด้วยดี ถามผมว่าถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ คนเรามันต้องมีความหวัง มันต้องมีจุดมุ่งหมาย ที่สุดคุณก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปแค่นั้นเอง ทุกอย่างผมถือว่า มันทำให้เราสามารถเติบโตเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี คือจริงๆ ผมถือว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ต้องไปฟังใคร พูดได้เองเลย แต่ถ้าอยากรู้เรื่องลึกกว่านี้แล้ววันนึงผมจะเขียนให้อ่าน”
คนที่อยู่ในนั้นตื่นเต้นแค่ไหนที่เจอ “เต๋า” ?
“ผมว่ามากครับ ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าทุกคนในนั้นมารับผิดชอบในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ทุกคนออกไปมีความหวังทุกคนมีจุดมุ่งหมายว่าออกไปจะทำอันนี้ จะเดินหน้าต่อไป คือทุกคนมานั่งคุยชีวิตของตัวเองเหมือนที่บอกว่าบางคนเราไม่เคยรู้ว่าชีวิตของคนเราเป็นแบบนี้ ผมว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่มีคุณค่ากับผม” ♦