หลายคนอาจจะบอกว่าชื่นชอบการทํางานของผู้กํากับดาวตลกสู่แผ่นฟิล์มอย่าง "หม่ำ จ๊กมก" ที่ได้ผลลัพธ์เกินคาดจากหนัง "บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม" ภาคแรก และหลังจากนั้นมา "บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม" ภาค 2 ก็ตามมาให้ความสําราญกันติดๆ แต่ผิดคาดเมื่อรายรับได้เป็นกอบเป็นกําแต่คําบ่นมีกันทั้งเมือง
หลังจากนั้น "โป๊ะแตก" ผลงานฮาเข้าขั้นของ "หม่ำ" ที่ดูจะภูมิใจนักหนาก็ตามมา พร้อมคําวิจารณ์กันหนาหูว่ามาตรฐานของ "หม่ำ" ไม่มีน้ำ- ยาเอาเลย หรือที่เห็นก่อนหน้านี้จะเรียกว่าฟลุคหรือเปล่า
พอถึง "หม่ำใหม่โดนกะโดน" ถึงได้ออกมาสภาพไม่ต่างจากผลงานเรื่องก่อนๆ ของ "หม่ำ" ที่ดูหน้าหนังแล้วน่าจะถูกใจชาวบ้านร้านตลาดกัน แต่บางกระแสกลับไม่ยินดียินร้ายเอาเสียเลย แถมยังก่นด่ากันระงมอีกว่า ต่ำกว่ามาตรฐานหรือไม่ต้องคิดมากว่าหนังหม่ำก็มีแค่นี้จริงๆ
จะเรียกว่าถึงคราวซวยหรือเปล่าแต่ยังโชคดีกว่าคนอื่น ที่ทําหนังโดนด่ายับแต่ก็ยังได้เงินทําหนังตลอดถือเป็นลูกรัก "เสี่ยเจียง" ก็ไม่ผิด
แต่ขอโทษหากยังไม่แก้ไขหรือปรับปรุง วงการหนังไทยที่ทรงตัวอยู่แล้ว อาจจะต้องดิ่งเหวกว่าเดิมก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่ามุมความคิดไม่ดี แต่ยังไม่ดีที่สุด พร้อมกับการระดมคําด่ามาสาระพัดจะทนไหว
แม้จะบอกว่าจัดเรทแล้วก็ตามเหอะ แต่หนังตลกหรือทําหนังไทยสมัยนี้ไม่จําเป็นต้องด่าทอก็ตลกได้ จําเป็นมากมั้ยต้องตีหัวยกแข้งยกขา ไม่จําเป็นเลย งานตลกหรือหนังบางเรื่องก็ตลกฮาจนตกเก้าอี้ได้ด้วยคําพูด
เลยไม่แปลกใจหากจะบอกถึงฝันของหนังไทยไม่ไปไกลกว่านี้ การทําหนังสมัยนี้ต้องให้ได้มาตรฐานระดับส่งออกได้แบบไม่อายคน ชาติไหนๆ น่าจะดีกว่านี้ ถ้าคิดใหม่ทําใหม่ได้ก็น่าจะดี
ทําไมไม่ถึงนึกล่ะว่าการที่หลายประเทศทําหนังออกสู่ตลาดนอกและได้รับการยอมรับได้เพราะมีความเข้าอกเข้าใจและดูตลาดกว่าเป็นแบบสากลเหมือนๆ ประเทศอื่นเขาเป็นกัน
อย่าเลยที่จะทําหนังย่ำอยู่กับที่และไม่คิดจะพัฒนาอวดชาวโลก หรือจะบอกแบบเบี่ยงเบนประเด็นว่าต้องการที่จะทําให้ผู้บริโภคเมืองไทยดูเหรอ
ถ้างั้นจะต้องบอกว่าแย่และคิดมากๆ ไม่งั้นจะถือว่าหลอกคนดูในเมืองไทยกับโปรดักชั่นง่ายๆ พล็อตหลวมๆ แบบนี้เหรอ ♦