เปลือยใจ เทพ โพธิ์งาม กับวิบากกรรมชีวิต

เปลือยใจ เทพ โพธิ์งาม กับวิบากกรรมชีวิต

1

เปลือยใจ เทพ โพธิ์งาม กับวิบากกรรมชีวิต

   ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครใจแกร่งได้เท่าตลกชั้นครูคนสำคัญของวงการอย่าง “ป๋าเทพ โพธิ์งาม” เพราะนอกจากต้องเดินสายเคลียร์ข่าวประกาศลาออกจากวงการไปหางานทำในประเทศลาวแทนแล้ว ป๋าเทพ ยังต้องเผชิญกับปัญหาภาระหนี้สินอันหนักอึ้งกว่า 7 ล้านบาท ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายประจำวันภายในครอบครัว และค่าอาหารสัตว์เลี้ยงเกือบ 100 ชีวิต กว่าแสนบาท จนต้องออกมาประกาศขายที่ดินและบ้านพักอาศัย บนเนื้อที่ 1 ไร่ ใน อ.ศาลายา จ.นครปฐม มูลค่า 4.5 ล้านบาท เพื่อปลดหนี้บางส่วน

   ทั้งนี้ ป๋าเทพ ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีความเข้าใจผิดในเรื่องของการอำลาวงการว่า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าเป็นการสร้างเรื่องหรือเปล่า เพราะไม่ค่อยมีงาน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากการเข้าใจผิด เพราะคำพูดเชิงทีเล่นทีจริงที่ว่า “ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงาน ไปหาอะไรทำกินที่ลาวบ้างดีกว่า” ส่วนเรื่องการลาวงการนั้น เทพ โพธิ์งาม ยืนยันว่า ยังคงรับงานในวงการบันเทิงอยู่เหมือนเดิม ยกเว้นงานแสดงตลกบนเวทีเท่านั้น ที่ต่อจากนี้จะขอไม่รับ “ป๋าแสดงอยู่หน้าเวทีมา 40 กว่าปีแล้ว ป๋าอยากจะหยุดแค่ตรงนี้เท่านั้นเอง หมายความว่า เล่นตลกหลายๆ คนรวมกัน พอแล้ว ปล่อยให้เด็กๆ เขาบ้าง แต่ว่างานหนัง ละคร ก็ยังเล่นอยู่ แต่พอบอกว่า หันหลังให้วงการแล้ว ฟังดูน่ากลัว” ปัจจุบัน เทพ โพธิ์งาม อาศัยอยู่กับครอบครัวที่บ้านโป่ง จ.ราชบุรี บนพื้นที่ 20 ไร่ โดยใช้เวลาว่างทั้งหมดดูแลสวนและสัตว์เลี้ยงในไร่ ส่วนงานในวงการมีเพียงผลงานทางด้านการแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ 1 เรื่อง ได้แก่ The Rocket และภาพยนตร์ไทยอีก 1 เรื่อง ที่มีชื่อว่า สีเรียงเซียนโต๊ด ของค่ายสหมงคลฟิล์ม หากเอ่ยถามถึงสิ่งที่อยากทำในวงการ ป๋าเทพ มีความฝันมากมาย หากแต่ความคิดเห็นและมุมมองที่มีความแตกต่าง และนายทุนอาจจะมองไม่เห็นความคุ้มทุนหรือ ผลกำไร

   ทำให้ความฝันของนักแสดงตลกชื่อดังต้องหยุดชะงักลง “ป๋าอยู่ในวงการก็อยากจะทำอะไรในแบบตัวของเราบ้าง บางครั้งในวงการนี้ มันไม่มีโอกาสหรือช่องที่อยากจะทำออกมาได้ อย่างที่เราคิด บางทีก็อึดอัดใจเหมือนกัน พอไปทางโน้นก็โดนตรงนี้ ซึ่งบางทีหลายเรื่องหลายราว เราคือศิลปิน เราก็อยากสร้างงานอะไรที่ออกมาไม่อยากให้ซ้ำเก่า ไม่เหมือนเดิม บางทีเรามีความฝันอยากจะเป็นแบบนั้น เราพยายามแสดงออกมาให้เขาได้เห็น แต่ผลออกมาว่า ไม่ได้ ก็ทำให้เราเบื่อเหมือนกัน ทำไมบ้านเราเป็นแบบนี้ ไม่มีอิสระ เสรีในการสร้างงานได้เต็มที่ ป๋าว่า วงการนี้แคบ บ้านเราอะไรทุกอย่างเหมือนเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วอยู่ น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง บ้านเมืองเจริญแล้ว” จากความล้มเหลวในเรื่องของธุรกิจที่ผ่านมา ไม่ว่าจะน้ำข้าวกล้องยี่ห้อโพธิ์งาม ร้านชำ อู่ซ่อมรถ ร้านเสริมสวย บ้านจัดสรร เครื่องปั้นเซรามิค ก่อให้ ป๋าเทพ ต้องเผชิญอยู่กับปัญหาภาระหนี้สิน โดยที่ผ่านมา ต้องเดินขึ้นโรงขึ้นศาล และต้องขายบ้านขายสมบัติส่วนตัว เพื่อให้หลุดพ้นจากการฟ้องร้องล้มละลาย

   แต่อย่างไรก็ตาม ป๋าเทพ ก็ยังคงไม่เข็ดจะลงทุน และมองว่า นี่คือความสำเร็จและความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาเรียนรู้ ไม่ใช่ความล้มเหลวแต่ประการใด และในอนาคตหากมีเงินลงทุน ป๋าเทพ ก็ไม่ปฏิเสธที่จะมองหาโอกาสลงทุนทำธุรกิจส่วนตัวอีกครั้ง “เรื่องธุรกิจ ป๋าไม่ได้ไปคิดเลยว่าจะทำอะไรต่อ ป๋าว่า รอเมื่อไหร่มีเงิน ป๋าค่อยคิด เป็นประมาณนี้มาตลอด แล้วก็เจ๊งมาตลอด แต่ป๋าคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เป็นเรื่องของมนุษย์เราที่ต้องเรียนรู้ไป หากเสียหาย นั่นก็คือสิ่งที่เรา หามาเอง เราไม่ได้ไปปล้นใครเขามา หรือไปเอาใครมา ป๋าถือเป็นเรื่องปกติที่เราต้องมาเรียนรู้ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สูญเปล่า ถึงเราจะเจ๊ง คำว่า เจ๊ง ของคนที่พูดในสังคม ป๋าว่า เป็นความสำเร็จของป๋า คิดอยู่คนเดียวว่า ถ้ามีโอกาสได้ทำแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ได้ทำแล้ว มันอาจจะก้าวไปแค่ก้าวเดียว แต่ที่จริง เขาก้าวเป็นร้อยก้าว เราเข้ามาได้แค่ก้าวตรงที่เราเห็นเขาทำ แค่ก้าวเดียวก็รู้สึกมีความภูมิใจแล้ว ที่เราได้ก้าวเข้าไปในตรงนั้น ทุกอย่างเราได้ไปเรียนรู้เบื้องต้นมาแล้ว ป๋าว่าไม่ได้ขาดทุนอะไร” หากมองถึงแนวคิดของ ป๋าเทพ บางคนอาจจะมองว่า “แปลก แตกต่าง” แต่หากมองในทางกลับกันอีกด้าน สิ่งที่ ป๋าเทพ มองและคิดนั้น อาจจะเป็นการเข้าใจชีวิต ณ ปัจจุบันในแบบของป๋าเทพเอง โดยเฉพาะเรื่องของหนี้สิน ซึ่งเจ้าตัวมองว่า หนี้สิน คือ สิ่งที่ทำให้ชีวิตไม่หยุดนิ่ง “หนี้สินคือ สิ่งที่ทำให้เราไม่อยู่นิ่ง เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ อย่าไปคิดอะไรมาก ไม่มีอะไรเป็นของจริง

   สักวันต้องจากเราไป ป๋าว่า เราเอาทรัพย์สินที่เราจะต้องเสียหายในภายภาคหน้ามาเรียนรู้ดีกว่า นี่คือ ความคิดป๋า พวกบอกบ้าเปล่า ทำอะไรก็เจ๊ง แต่เขาคิดไหมว่า ป๋าไม่ได้เจ๊ง แต่คือความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง นี่คือความสุขของมนุษย์ที่ ได้เกิด นี่คือกำไรชีวิต ไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้ นอกจากเราจะต้องสัมผัสเอง เป็นมหา’ลัยชีวิตที่เราจะต้องเรียนรู้ อย่างที่ว่าคนเราจบปริญญา ไม่ใช่สำเร็จ นั่นคือเริ่มต้น” ทุกวันนี้ ป๋าเทพ มีภาระหนี้สินกว่า 7 ล้านบาทและยังคงพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ค่าอาหารสัตว์เดือนละ 1 แสนบาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ซึ่งภาระทั้งหมด ป๋าเทพ เป็นผู้หารายได้เข้ามาเพียงคนเดียว เรียกได้ว่า มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น คิดแก้ปัญหาไปวันๆ ไม่มีวางแผนล่วงหน้า “ป๋าพูดอยู่ตลอดว่า แก้ไปวันๆ หนึ่ง จะได้หรือไม่ได้ก็อยู่ตรงที่ในความจริงที่จะเกิดขึ้น หมายความว่า ถ้าเราหาไม่ได้ ก็ให้เขายึดไปเท่านั้นเอง ถ้าเกิดเราคิดล่วงหน้าก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ อย่าไปคิด แก้ไปวันๆ วันนี้โชคดีก็เหลือเก็บไว้ ถ้าไม่เหลือก็โอเค หมดไปวันๆ เท่านั้นเอง จะทำยังไงให้อยู่ได้ทั้งครอบครัวอยู่ได้ สัตว์อยู่ได้ เป็นอย่างนี้มาตลอด อีกอย่าง เจอมาตลอดในความลำบาก ส่วนมากจะคิดถึงสัตว์ก่อน ตอนนี้ไม่มีรายได้หลักอะไรเลย ป๋าหาคนเดียว นี่นิดนี่หน่อย อาศัยไปเท่านี้เอง แต่ถ้าถามถึงดอกหรือของให้เขาไม่คุ้มเลย ส่วนลูกหลานคนในครอบครัว เขาก็มีไปร้องเพลง ช่วยตัวเองได้ แต่ถ้าพูดถึงภาระที่เราต้องดูแล ไม่ว่า สัตว์ ลูกหลานเล็กๆ ที่ต้องเรียน เราก็ต้องดูแลตรงนี้ด้วยเหมือนกัน ช่วยกัน แต่บางทีก็มีงานหนังมา ละคร โฆษณา แต่หายเลยก็มี ต้องขายที่ เมื่อก่อนมี 50 ไร่ เดี๋ยวนี้เหลือ 20 ไร่ แม้จะลำบากเรื่องหนี้สิน แต่ก็ไม่แร้นแค้น ที่ผ่านมา ก็โดนยึดมาก็เยอะแล้ว บ้านที่พัทยา 3 หลัง เงินอีก 5 แสน เกือบล้มละลาย แต่เอาไปเคลียร์เขาเรียบร้อย ไปขึ้นศาลอยู่พักหนึ่ง” ส่วนการประกาศขายบ้านใน อ.ศาลายา จ.นครปฐม เนื้อที่ 1 ไร่ ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางการแก้ไขปัญหาที่ ป๋าเทพ คิดออกในตอนนี้ เพื่อชะล้างหนี้ที่พอกพูนเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนให้บางลงบ้าง แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม “ป๋าประกาศขายบ้านที่ศาลายา 1 ไร่ ซ.กันตนา มูฟวี่ มาสักพักแล้ว แต่ยังขายไม่ได้ ขาย 4 ล้าน 5 แสน ไม่รู้จะขายได้หรือเปล่า เราอยากจะโละๆ ขายไปซะ จะได้ใช้หนี้ สิ่งที่เราไปเป็นหนี้เขาไว้ มันพอกหางหมูจนแข็งแล้ว ต้องชุบน้ำเอาออกบ้าง ต้องอดทนใช้หนี้ไป ครอบครัวเข้าใจป๋าทุกอย่าง” แม้จะต้องเผชิญกับปัญหาหนักหนาขนาดไหน

   แต่สิ่งหนึ่งที่ ป๋าเทพ ไม่เคยคิดเลยนั่นคือ การฆ่าตัวตาย เพราะที่ผ่านมา ป๋าเทพ มองว่า นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุด เพราะในชีวิตเคยลำบากกว่านี้มาแล้วในช่วงวัยเด็ก “ป๋าไม่เคยคิดสั้นนะ เพราะกลัวตาย แค่จะกินยายังคิดเลยว่า กินแล้วจะตายหรือเปล่า ต้องอดทน เพราะประสบการณ์ที่เราเคยเจอหลายๆ อย่างสอนมาให้เราเข้าใจ หากไม่มีเงินป๋าว่าจะมีความสุขกว่า ตอนนี้รู้สึกเหมือนตลกนรกจริงๆ แต่ทุกอย่างไม่น่าห่วงหรอก” ทุกวันนี้ ป๋าเทพ ได้รับการหยิบยื่นความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ น้องๆ ในวงการบันเทิงไม่ว่าจะเป็น น้องเมียอย่าง “จิ้ม ชวนชื่น” “หม่ำ จ๊กมก” ที่ช่วยเหลือเรื่องเงินทอง หรือ “ท็อป-ดารณีนุช” ที่ช่วยเรื่องซื้อกากมันให้กับวัวในไร่ รวมถึง น้องสาวคนสนิท น้อย โพธิ์งาม “หม่ำเขาก็ช่วยเหลืออยู่ จิ้มน้องเมียก็คอยช่วยดูแล บางทีเราไม่มีเงินส่งบ้าน จิ้มก็ออกไปก่อน เราไม่ได้ขอเขาเลย เขาเสนอมาเอง หม่ำก็เหมือนกัน บางทีก็ถามอยู่เรื่อยๆ เป็นไง มีเงินหรือเปล่า เดี๋ยวหามาให้ล้าน 5 แสน พอมีข่าวออกมา พี่ๆ น้องๆ ในวงการเป็นห่วงป๋ามากอยู่เหมือนกัน ต้องขอบคุณมาก แต่ป๋าไม่น่าเป็นห่วง อายุปูนนี้ ไม่ต้องช่วยอะไร มันเป็นเรื่องของเรา เราทำเอง ไม่ต้องมาช่วยเหลืออะไร น้องนุ่งก็โทรมา ก็บอกไม่ต้องเลย เป็นกรรมของเรา ทำมาต้องแก้เองเรื่องอะไรต้องให้คนอื่นแก้ เราอยากจะเรียนรู้ต้องต่อสู้แก้ไข ป๋าถือว่าเป็นเรื่องกรรม ใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หมดเอง เหมือนเงิน ถ้าเรายืมเขามาแล้วไม่ใช้ สักวันก็ตามอยู่นั่น ไม่หนี ใช้คืน สักวันก็หมด เดี๋ยวก็จะดีขึ้นมาเอง อันนี้ป๋าคิดอยู่ตลอดเวลา ปัญหาเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เพราะที่ผ่านมาป๋านั่งรถไฟมามีกางเกงขาสั้นมาตัวเดียว จากรือเสาะ จ.นราธิวาส เข้ากรุงเทพ ก็ถือว่ากำไรทั้งหมดที่มีอยู่ ถ้าป๋าเหลือกางเกงในตัวเดียวก็ถือว่าขาดทุนแล้ว แค่นั้นเอง ไม่เสียดาย ทรัพย์สินไม่ใช่ของเรา ป๋ามาเข้าใจมากๆ ก็ตอนป๋าอายุมาก เมื่อก่อนไม่เคยสนใจ”

   อนาคตต่อจากนี้ ป๋าเทพ ยังคงเน้นย้ำว่า ยังคงอยู่ในวงการบันเทิง แต่ขอรับเพียงงานหนังงานละครหรืองานที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานตลกบนเวทีเพียงเท่านั้น และหากมีเวลาจะเข้าไปมองหาลู่ทางในการทำธุรกิจต่อในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมองเห็นโอกาสเมื่อ AEC เปิด ในอีก 2 ปีข้างหน้า “บางทีป๋าก็พูดสนุกๆ ไม่ได้ทิ้งวงการ เพียงแต่หยุดงานตลกหน้าเวทีเท่านั้น หนัง ละคร ยังรับ และเวลาทำงานอยากให้คนที่จ้างเราทำงาน มองเราให้เกียรติเราหน่อย อย่ามองเราเป็นขี้ข้า ไม่เอาเลยพวกนี้ เพราะ เราไปเอาความสามารถ ชื่อเสียงเราไปทำงานให้เขา คุณจะต้องให้เกียรติผมหน่อย ไม่ใช่พูดอะไรโดยไม่ไว้หน้า ดูทุเรศเกินไป ส่วนการเดินทางไปประเทศลาวนั้น ป๋าอยู่เมืองไทยไม่ค่อยมีงาน เพื่อนชวนว่า มาอยู่ด้วยกันที่ลาวไหม เขามีที่เป็นหมื่นๆ ไร่ ป๋าจะทำธุรกิจอะไร เกี่ยวกับเกษตรหรืออะไร เขามีที่ทางให้เราทำ ก็เลยว่า ว่างๆ จะไปดู เพราะว่าเมื่อเราไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว เวลาเราก็จะเยอะ เราก็สามารถที่จะไปได้ พม่า ลาว เวียดนาม เขมร ไปดูสิว่า เราน่าจะทำอะไรอีก 2 ปี เราก็จะได้ไป คิดว่าถ้าทำในบ้านเรา ป๋าทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ได้ไปอยู่ ถ้ามีหนัง ละคร เราก็ต้องกลับมาเล่น ไปอยู่ถาวรจะไปอยู่ได้ไง เราไปนับ 1 ได้อีกเหรอ เรานับ 10 ที่เมืองเราแล้ว ทำไมต้องไปนับ 1 ใหม่ในประเทศอื่น มันไม่คุ้ม เพียงแต่ว่าเราจะไปดูสิอนาคตข้างหน้า อาเซียนมันจะรวมกันแล้ว ต่อไปมีทางไหนบ้าง อยากจะเรียนรู้ไปอีกเท่านั้นเอง”

   คงต้องขอยกนิ้วให้กับหัวใจเข้มแข็งของ “ป๋าเทพ โพธิ์งาม” จริงๆ เพราะไม่ว่าจะลำบากอย่างไร ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาใดๆ

เปลือยใจ เทพ โพธิ์งาม กับวิบากกรรมชีวิต

เปลือยใจ เทพ โพธิ์งาม กับวิบากกรรมชีวิต

เปลือยใจ เทพ โพธิ์งาม กับวิบากกรรมชีวิต

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Gallery ที่เกี่ยวข้อง

Comments