"แอฟ" ภูมิใจ รับบท "มณีจันทร์" คู่ชีวิตของ "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คือประสบการณ์ คือการเรียนรู้ คือความภาคภูมิใจเสมอในทุกครั้งที่เราพูดว่าเราได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้” กับประสบการณ์ตลอด 1 ทศวรรษที่กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด 1 ใน 3 ของชีวิตที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของ "แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์)" กับบทบาท มณีจันทร์ หญิงสาวผู้เป็นคู่คิดและคู่ชีวิตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เมื่อเอ่ยชื่อท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับที่เรียกได้ว่าเป็นครูใหญ่ของวงการภาพยนตร์ไทย และเป็นหม่อมเจ้าผู้มีสายเลือดนักทำหนัง ผู้มีอาชีพเป็นผู้กำกับภาพยนตร์มาทั้งชีวิต ในมุมมองของเราเป็นอย่างไรบ้าง
"เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะคะ(หัวเราะ) เจอท่านตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ก็สัก 13 หรือ 14 ปีนี่ละค่ะ คือให้นึกถึงท่านภาพแรกที่นึกถึงเลย คือตอนที่แอฟได้มีโอกาสเข้าไปพบท่าน ตอนแรกก็จินตนาการไปต่างๆ นานา ด้วยความที่ตอนนั้นเราก็เด็กประสบการณ์ในวงการบันเทิง เราก็น้อย แม้กระทั่งในวงการหนัง หรือว่าการมาเจอผู้กำกับที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ได้ เราก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา บวกกับจินตนาการไปว่าท่านต้องดุ ต้องเข้มแน่เลย ปรากฏว่าเจอวันแรกแปลกใจมาก กลับไปถึงบอกกับที่บ้านว่าท่านไม่ได้เป็นเหมือนที่เราจินตนาการไว้เลย คือท่านให้ความเมตตาในทุกๆ ด้านในความเป็นกันเอง ทั้งๆ ที่เราคิดว่าเราเป็นเด็กคนหนึ่งไม่ได้เป็นใครมาจากไหน คือท่านไม่จำเป็นต้องให้เวลา หรือว่าให้ความสำคัญในการอธิบายใน สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง จริงๆ ให้ทีมงานอธิบายก็ได้ ตอนแรกยังคิดว่าท่านคงเรียกมาดูหน้าดูๆ แล้วก็ไปๆ ปรากฏว่าเจอครั้งแรกก็เลยรู้สึกประทับใจมาก ที่ท่านให้โอกาสเราพูดคุย แล้วก็อธิบายถึงบทที่ท่านสนใจอยากจะให้มารับ บทนี้เป็นยังไงท่านก็เล่า หลังจากนั้นก็เลยเรียนรู้เรื่อยมาว่าท่านมีลักษณะของความเป็นครูค่ะ คือมีความสุขในการที่จะสอนไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นเล็กขนาดไหน ท่านก็ไม่ถือ คือหนึ่งท่านเป็นเจ้า สองท่านเป็นผู้กำกับใหญ่อีกอย่างท่านก็ไม่เคยคิดว่าจะเสียเวลาที่จะสอนเด็กรุ่นหลัง แม้ว่าแอฟในวันนั้นเป็นเด็กคนหนึ่งใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยไปประทับใจที่สุด ถือว่าท่านเป็นครูทางด้านภาพยนตร์คนแรกในชีวิตเลยคะ"
มาถึงตรงนี้ 10 ปีแล้วพูดได้มั้ยว่า ได้อะไรจากท่านมุ้ยบ้าง
"ได้ทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งเรื่องในแง่เทคนิคการแสดง ในการถ่ายทำภาพยนตร์ นอกจากนั้นเรายังได้ในแง่ของหลักการทำงาน ความทุ่มเทในการทำงาน คือสำหรับท่านแล้ว แอฟมองว่าท่านไม่เคยแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวเลย คือท่านมองว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน อย่างนั้นเลยค่ะ
คือเป็นบุคคลที่ทุ่มเทให้กับการทำงานมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตเลย ซึ่งท่านทำอย่างนั้นได้เพราะว่าท่านรัก และภาพยนตร์คือชีวิตของท่านจริงๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่รู้สึกว่านี่คือการทำงาน หรือโอ้โห..เราต้องทำงานจนถึงกี่โมงแต่ว่าคือทุกๆ นาทีที่ผ่านไปท่านมีความสุข ท่านก็เลยไม่ได้รู้สึกว่านี่เราทำงานมาเป็น 10 ชั่วโมงแล้วนะ เพราะว่าในทุกๆ นาทีที่ท่านมุ้ยทำอยู่อันนั้นมันคือความสุขของท่าน สำหรับแอฟแล้วประทับใจมากที่ท่านมุ้ยให้โอกาสค่ะ"
ตอนนี้อยากให้แอฟอัพเดทชีวิต และผลงานในปัจจุบัน
"สำหรับตอนนี้ก็รับงานทางด้านบันเทิงลดน้อยลงนะคะ อะไรที่เป็นงานระยะยาวก็จะไม่ได้รับค่ะ เพราะว่าตั้งแต่แต่งงานมา ก็มาช่วยทำธุรกิจกับสามี เลยเปลี่ยนทิศทางในด้านการทำงานนิดหนึ่ง แล้วอาจจะมีวางแผนครอบครัว จะมีลูกประมาณนี้ ก็เลยยังไม่ได้รับงานอะไรที่เป็นระยะยาว"
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ถือได้ว่าได้ทำอะไรในวงการบันเทิงมาเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นละคร ,ถ่ายแบบโฆษณา, พรีเซนเตอร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์,มิวสิควิดีโอ เรียกได้ว่าทำอะไรมาจนจะครบหมดแล้ว
"ในส่วนของงานบันเทิงก็เป็นชีวิตแอฟเลยละค่ะ จนถึงทุกวันนี้ก็ทำงานมาประมาณ 12 ปี เริ่มจากสมัยก่อน เหมือนเด็กทั่วๆ ไปก็จะเป็นถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบทำมาหมดแล้วทุกอย่าง โดยที่งานหลักของแอฟก็คืองานละคร งานภาพยนตร์ที่รับบทเต็มตัว ก็จะมีตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เรื่องเดียวเท่านั้นค่ะ"
เมื่อพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในความรู้สึกของเราที่มีต่อท่านเป็นอย่างไรบ้าง
"ในภาพความคิดของแอฟคือจะรู้สึกว่า สมเด็จพระนเรศวรฯ ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์สำคัญที่ทำให้ คนไทยมีแผ่นดินไทยอยู่จนถึงทุกวันนี้ ทุกคนรู้จักท่านในแง่การมียุทธหัตถี เป็นศึกใหญ่ครั้งสำคัญของคนไทย แล้วก็คนจะรู้สึกว่าท่านเก่งในด้านของวิชาการรบ ยุทธวิธีในการรบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรบแบบกองโจร แล้วก็ท่านมีความรัก และห่วงใยใกล้ชิดในประชาชนของท่าน"
พูดถึงโปรเจ็คท์ภาพยนตร์ที่ว่ากันว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างภาพยนตร์ของไทย สมกับชื่อ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกันบ้าง เมื่อเอ่ยชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
"ครั้งแรกที่ได้ยินโปรเจ็คท์นี้ ก็ทราบอยู่แล้วน่าจะเป็นโปรเจ็คท์ที่ใหญ่ สำหรับในวงการภาพยนตร์ไทย แต่ว่าก็ต้อง ยอมรับว่าไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะใหญ่ขนาดนี้ หมายถึงในแง่ของความยิ่งใหญ่นะคะ แล้วแอฟก็ยังมั่นใจว่าคงไม่มี ใครที่จะสร้างภาพยนตร์ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินทุนเพียงอย่างเดียวอันนี้แอฟมั่นใจ เลยมันเป็นเรื่องของความทุ่มเทของผู้นำซึ่งผู้นำของกอง ก็คือท่านมุ้ยนั่นเองนะคะแล้วบวกกับทีมงานทุกๆ คนที่ทำให้มีทุกวันนี้ค่ะ
ในตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านมาพูดได้ว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวของแอฟ ทักษอร เลย และเป็นที่จดจำของคนไทยทั้งประเทศ กับบทบาทมณีจันทร์ อยากให้แอฟพูดถึงตัวละครตัวนี้กับบทบาทที่เราได้รับ
"ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ แอฟก็ได้รับโอกาสจากท่านมุ้ยนะคะให้มารับบท มณีจันทร์ ผู้ที่อยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับบุคลิกของตัวละครเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ส่วนใหญ่แล้วที่ผ่านมาแอฟมักจะได้รับบทบาท ที่เป็นแบบแข็งนอกอ่อนใน ประมาณนี้นะคะ แต่สำหรับบทมณีจันทร์จะมีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ แต่ทางด้านร่างกายคือด้วยความเป็นผู้หญิงสมัยก่อนด้วย ก็จะเป็นคนนุ่มนวล อ่อนหวาน แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราได้รับการเลี้ยงดูจากพระสุพรรณกัลยาด้วย จริงๆแล้วมณีจันทร์เองเติบโตมากับ สมเด็จพระนเรศวรฯ แล้วก็ไอ้ทิ้ง โตมาจากในวัด ก็จะไม่ได้มีใครอบรมทางด้านกิริยามารยาท จนกระทั่งได้มาอยู่กับพระสุพรรณกัลยานี่แหละค่ะ ถึงได้เป็นกุลสตรีขึ้นมาจนโตเลย ทำให้ทุกอย่างหล่อหลอมขึ้นมา ให้เป็นบุคลิกของสาวชาววังขึ้นมาจนได้แต่ว่าภายในจิตใจข้างใน เป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะสู้รบเมื่อยาม คับขัน ยามจำเป็นเราก็จับดาบได้"
ในการที่จะต้องรับบทสาวชาววัง และต้องมีสู้ศึกจับดาบด้วย มีการเตรียมตัวเพื่อถ่ายทอดตัวละครมณีจันทร์อย่างไรบ้าง
"ก็จะมีช่วงแรกๆของการถ่ายทำแอฟก็จะเหมือนนักแสดงคนอื่นๆ ค่ะ คือจะต้อง ผ่านการเวิร์คช็อปประมาณปีหนึ่งมั้งคะ แต่เป็นปีหนึ่งเมื่อ 12 ปีที่แล้ว(หัวเราะ) เวิร์คช็อปให้เรามีทักษะ ในทุกๆ ด้านเพราะว่ามณีจันทร์เองก็ยังหนีไม่พ้น จะต้องมีฉากสู้รบ และท่านมุ้ยก็อยากให้นักแสดงทุกคนต้องมีพื้นฐานทางด้านการฟันดาบการขี่ม้า ขี่ช้าง ทุกๆ คนจะต้องเรียนเหมือนกันหมด ตอนแรกก็พยายามขอแล้วว่า “มณีจันทร์ ไม่ต้องรบขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ”(หัวเราะ) แต่ว่าเพื่อความสะดวกในการถ่ายทำก็ดีด้วย เราจะได้เรียนรู้และเวลา เราแสดงเราจะได้เข้าถึงบทบาทอย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้นเราก็จะมีเวิร์คช็อปตรงนั้นส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวกัน มณีจันทร์ก็ต้องเป็นสาวชาววังช่วงแรกนะคะ ก็จะมีการเรียนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่องมารยาท แม้กระทั่งเรื่องการกราบแบบนี้นะคะ เพราะว่าบางทีเราก็หลงลืมข้ามขั้นตอนไปบ้าง หรือบางอย่างที่เราอาจจะไม่ได้ทำบ่อยนัก ก็จะมีการเรียนรู้ตรงนั้นคะ"
การเวิร์คช็อปสำหรับนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีความเข้มข้นฝึกฝนเรียนรู้กันอย่างจริงจังมากๆ ถึงขนาดมีการจัดตารางเวลาเลยว่า เช้า สาย บ่ายเย็น ต้องเรียนรู้อะไร
"เป็นช่วงยากของแอฟเลยละค่ะโดยทางบริษัทจะจัดตารางมาให้คือทั้งเดือนนี้มีเวิร์คช็อปวันไหนบ้าง ลงตารางมาเลย เรียนพร้อมใครพร้อมใคร แล้วตอนถึงเวลาก็จะมีระบุว่าวันนี้เริ่มตั้งแต่ กี่โมง สมมติเรียนฟันดาบ 8โมง-10โมง,10โมง-เที่ยง ขี่ม้า,พักเที่ยง-บ่ายโมง,บ่ายโมง-บ่ายสามเรียนฟันดาบ อีกรอบหนึ่งแล้วก็ 4โมงเย็น- 6โมงเย็น ขี่ช้างอะไรประมาณนี้คะ คือทุกอย่างจะเป๊ะเป๊ะเป๊ะ คือเหนื่อยมากโดยเฉพาะอย่างแอฟไม่ได้มีพื้นฐานในการออกกำลังขนาดนั้น แล้วเราก็ฝึกกับพี่ๆก็จะมีหลายๆคน คอยช่วยแอฟ อย่าง ทราย ก็จะคอยช่วยไหวมั้ย หรือวิ่งรอบสนามฟุตบอลเรียนฟันดาบ ก็จะคอยเป็นห่วงถามตลอดก็น่ารักมากคอยถามไหวมั้ย (หัวเราะ)
ด้วยหน้าที่ และบทบาทสำคัญๆมากในหลากหลายเหตุการณ์ ฉะนั้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของตัวละครมณีจันทร์ เองน่าจะมีความน่าสนใจไม่น้อย มณีจันทร์เองก็มีหลากหลายสถานะหลากหลายบทบาทไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความละ เอียดอ่อน ความเป็นกุลสตรี หรือแม้กระทั่งได้มีโอกาสออกไปรบซึ่งตรงนี้เองตอนถ่ายทำจริงๆ อาจจะมีบ้างที่การรบการถ่ายทำมันก็น่ากลัวนะ เหนื่อยนะ ก็มีแอบบ่น แต่ว่าให้มานึกย้อนตอนนี้ก็รู้สึกดีใจนะคะ ที่ท่านให้โอกาสที่ท่านเชื่อมั่นในตัวเราและทำให้เราได้มีโอกาสได้รับบทนี้
ซึ่งมีในหลายๆ บทบาททั้งได้ใส่ผ้าไทยสวยงามทั้ง ได้ออกไปรบ คือในแง่ของการแต่งกายเราก็แน่นอนเป็นสาาวชาววัง ก็ได้แต่งกายสวยงามตามแบบฉบับกุลสตรี อยู่แล้วก็จะมีหม่อมบี๋ (หม่อมกมลา ยุคลโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์) นะคะที่จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องผ้า และการแต่งกายมากๆ เลยค่ะ ผ้าของตัวละครทุกตัวจะผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว แม้กระทั่งทุกวันนี้ แอฟก็ยังเชื่อว่ายังเก็บอยู่เป็นอย่างดีเลยค่ะ แล้วท่านก็จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าต้องตรงตามประวัติศาสตร์ ในเวลายุคนั้นว่าเขาใส่กันแบบไหน ตั้งแต่ตัวเนื้อผ้าเองที่เลือกมา อย่างของแอฟก็จะเป็นลักษณะของชาวมอญเป็นสาวมอญที่มาอยู่ในประเทศไทย ก็ยังคงแต่งแบบมอญ อยู่แบบมอญก็ใส่ผ้าถุงแบบจีบหน้านางก็จีบสดนะคะ ทุกครั้งคือเป็นแค่ผ้าดิบผืนเดียว แล้วก็พับสด เย็บสด ทุกครั้งเพื่อความสมจริง ในภาพยนตร์ที่ทุกท่านได้เห็นอยู่ ไม่มีใครทราบว่าเราถ่ายหนังมาเป็นสิบกว่าปี แต่ทุกครั้งที่เห็นผ้าของตัวละครทุกตัวที่ใส่หมายความว่านักแสดงไปเข้าห้องน้ำที ก็คือเลาะออกนะคะ แล้วเย็บใหม่เป็นเวลาสิบกว่าปีคือคนอาจจะนึกว่าเหมือนสมมติว่าเราถ่ายอย่างอื่น งานอื่นๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดขนาดนี้ เพื่อความสมจริงในภาพยนตร์ทุกคนก็ทุ่มเท"
ในความรู้สึกของแอฟ มองว่าเสน่ห์ของมณีจันทร์ อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
"ต้องบอกก่อนว่าสำหรับแอฟแล้ว บทนี้เป็นบทที่มีพลังคือมีความเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งซึ่งอาจไม่ได้หาได้ง่ายๆ ทั่วไป ถ้าให้แอฟตอบในความเป็น มณีจันทร์ คือเป็นผู้หญิงมั่นใจ ว่าชีวิตนี้ตายได้เพื่อคู่ชีวิตตายได้เพื่อแผ่นดินนี้ ทั้งๆ ที่มณีจันทร์จริงๆ แล้วไม่ใช่คนไทย แต่ด้วยความที่ได้เติบโตมากับสมเด็จพระนเรศวรฯ เติบโตมากับ พระราชมนู แล้วก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระสุพรรณกัลยา แม้กระทั่งการที่มณีจันทร์ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระมหาเถรคันฉ่อง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมณีจันทร์หล่อหลอมขึ้นมา ทำให้มีส่วนผสมของทั้งความเข้มแข็งความเด็ดเดี่ยว และความอ่อนโยนมาจากพระสุพรรณกัลยา เรียนรู้เรื่องรบด้วย เรื่องการครองเรือนด้วย รวมไปถึงการมีส่วนมีบทบาทการตัดสินใจในบางเรื่อง โดยมีรูปแบบ และวิธีที่จะจัดการหรือรับมือในแบบผู้หญิงอย่างมณีจันทร์ ซึ่งอาจจะไม่ได้แสดงออกมาแบบผู้หญิงสมัยใหม่ ที่มีความเห็นแบบนี้แล้วก็พูดออกไป แต่จะเป็นในแง่ของการให้กำลังใจ แอบผลักดัน ส่งเสริม และคอยอยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรฯตลอดไม่ว่าจะอยูในสถานการณ์ใดค่ะ"
นอกจากคนดูจะได้เห็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฯ ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นมุมมองความรัก และห่วงใยไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์เช่นกัน
"ถ้าใครจำได้ว่าตั้งแต่ องค์ประกันหงสา พระนเรศวรฯ ทรงเติบโตมาพร้อมกับพระสหาย คือมณีจันทร์และบุญทิ้ง แล้วในยุทธหัตถีจะเห็นมุมมอง และความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อสหายอย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฉากที่พระนเรศวรฯกับมณีจันทร์ ได้กลับไปเยี่ยมบุญทิ้ง(พระราชมนู)ก็เป็นความซาบซึ้งอีกอย่างหนึ่งค่ะ ในฐานะที่เราเป็นตัวละครมณีจันทร์ ไอ้ทิ้งหรือบุญทิ้งก็เป็นเพื่อนรักของเราด้วย เราเองก็มีความรัก และเป็นห่วงบุญทิ้งอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่ซาบซึ้งที่สุด คือคนดูจะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ มีความรักความห่วงใยในตัวบุญทิ้งมาก ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์กับทหารรับใช้ แต่เป็นความรักความห่วงใยระหว่างเพื่อน ไดอะล็อคแอฟก็จำไม่ได้เป๊ะๆนะคะ แต่เราฟังแล้วเราก็ยังซึ้ง แล้วก็เชื่อจริงๆ ว่าตัวละครทั้งสอง บวกมณีจันทร์เข้าไปอีกคนหนึ่งมีความรัก ความผูกพันซึ่งกันและกันจริงๆ แอฟว่าคนดูจะรู้สึกมากกับการที่สมเด็จพระนเรศวรมีความห่วงใยในตัวบุญทิ้งค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะคิดว่ามันก็เป็นหน้าที่ถูกมั้ยคะแต่ท่านมองเข้าไปถึงจิตใจว่าบุญทิ้งมีจิตใจที่จงรักภักดีจริงๆ แล้วทำทุกอย่างได้เพื่อท่าน แล้วการแสดงของพี่เบิร์ดกับพี่ปีเตอร์ ทำให้แอฟรู้สึกซาบซึ้งสำหรับฉากนี้ นอกจากฉากนี้แล้วอยากให้ติดตามกันค่ะ จากภาคที่แล้ว จะมีอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่เข้ามามีบทบาทนั่นคือ ไอ้ขาม ชายบ้าใบ้ ในภาคนี้จะเหมือนเป็น การเฉลยว่าความสำคัญของไอ้ขาม มีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์ แล้วก็เป็นอีกครั้งหนี่งที่ตัวมณีจันทร์เองก็ ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ คือเป็นคนที่เห็นแววของไอ้ขามจำได้ในประโยคที่ว่า“ไอ้ขามคนบ้าใบ้นี้”คืออยากให้โอกาสคนๆนี้ และเชื่อว่าต่อไปจะเป็นคนที่มีความสามารถ และมีความจงรักภักดีต่อท่าน ซึ่งต่อมาไอ้ขามก็ได้เป็นคนคุมช้างพลายภูเขาทอง ที่จะได้ออกร่วมรบซึ่งเป็นช้างคู่ศึกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยคะ"
ความทรงจำตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านมา ที่แอฟมีส่วนรวมในภาพยนตร์กว่าจะเกิดเป็นหนังเรื่องนี้ หรือกว่าจะได้แต่ละคัทแต่ละซีนมันยากขนาดไหน อย่างไร
"จริงๆ น่าจะ 12 ปีที่ผ่านมา คือด้วยความใจรักในภาพยนตร์ และ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างของท่านมุ้ย ที่จะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของคนไทยที่ดีที่สุด ในแง่ของการผลิตหรือในแง่ของการที่จะมีคุณค่าที่จะสอนลูกหลานต่อๆ ไป ความตั้งใจเหล่านี้ ทำให้เกิดเป็นมาตรฐานของท่านขึ้นมา ก็เลยนำมาซึ่งเวลาถ่ายทำที่ถ้าไม่ถึงมาตรฐาน ก็ไม่ให้ผ่าน มันก็เลยค่อนข้างใช้เวลา
บางฉากก็เป็นวันบางฉากก็เป็นสัปดาห์ บางฉากถ่ายไปแล้วเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วก็รื้อกลับมาถ่ายใหม่ คือจะบอกว่าในกองตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอค่ะ บางฉากถ่ายเมื่อปีที่แล้ว ณ ตอนนี้ท่านก็อธิบายบทที่ได้รับไปคือฉากนี้เป็นอย่างนี้นะ นักแสดงก็จะมีหน้าที่ถามท่านว่า ฉากนี้มีความเป็น มาอย่างไร เพราะว่าทุกคนจะไม่ได้บทเหมือนเรื่องทั่วๆ ไป ที่จะได้รับบททั้งเรื่องมาเป็นเล่ม คือได้มาเป็น ตอนๆ เรามีหน้าที่จะต้องถามว่าตอนนี้มันมาจากไหน คือที่มาที่ไปคืออะไรแบบนี้ค่ะ คือเราก็ต้องคอนทินิวท์อารมณ์ให้ได้ถ้าจำไม่ได้ก็ ถามท่านเพราะทุกอย่างจะอยู่ในหัวท่านหมด ท่านเป็นทุกอย่างเป็นคอมพิวเตอร์ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์พม่ามีหมด อยู่ในหัวท่านค่ะ เราถามท่านได้เสมอ แต่ละวันบางคนไม่ทราบว่าฉากหนึ่งจะถ่ายทำให้เสร็จวันหนึงบางทียากมาก บางทีวันนึงได้ไม่กี่คัท เพราะหนึ่งฉากอาจจะมี 10 คัทหรือ 15 คัท ก็แล้วแต่วันนึงอาจจะได้ 5 คัท 7 คัทแบบนี้ก็มีค่ะ แล้วแต่ความสำคัญ และความยาก ความยิ่งใหญ่ของแต่ละตอนแต่ละฉากนั้นๆ"
ทราบมาว่าแต่ละคนก็จะมีร่องรอยแห่งประสบการณ์ เป็นความทรงจำที่ฝากไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มๆเพราะต้องมีฉากแอ็คชั่นสงคราม แล้วนางเอกอย่างมณีจันทร์เจอกับอุปสรรคหรือบาดเจ็บอะไรบ้างไหม
"เคยตกม้าครั้งเดียวค่ะ(หัวเราะ) แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วคะ อันนี้ก็หลายปีแล้วนะคะ เป็นอีกหนึ่งฉาก ที่มณีจันทร์ได้ออกร่วมรบ เกือบจะไม่ได้ตกค่ะ แต่ด้วยความมีมาตรฐานของท่านมุ้ย ก็ขออีกเทคๆ จน กระทั่งก็ตก เทคนั้นก็เลยเป็นเทคสุดท้ายก็พอดีหมดเวลาด้วยค่ะ ก็คือเย็นแล้ว จำได้เลยว่าคืนนั้นจะขึ้นเครื่องจะไปต่างประเทศ มันเป็นฉากขี่ม้ากันหลายๆ คน แล้วก็ทางเป็นเนินเลยลื่น คือตอนตกหลุดนอกเฟรมไปแล้วนะคะท่านมุ้ยก็เล่าให้ฟังว่า ไม่เห็นแต่ได้ยินเสียงแอฟร้อง คือเสียงไปถึงมอนิเตอร์เลยค่ะ คือตกใจ แต่จริงๆ แล้วแอฟถือว่าคือเขาเรียกว่าบาดเจ็บแบบเล็กน้อยแล้ว คนอื่นมีวีรกรรมเยอะแยะ อย่างทรายนี้คือตกม้าแบบหนักๆ แรงๆ เยอะกว่าแอฟมาก หรือจะเป็นนักแสดงผู้ชายคนอื่น คือ เขาผ่านทั้งขี้ม้าลุยไฟคือหนักกว่าแอฟเยอะของแอฟนี่คือท่านมุ้ยยังเมตตา(หัวเราะ)"
มาจนถึงวันนี้แล้วพอบอกได้มั้ยว่าหนังเรื่องนี้มีความสำคัญกับชีวิตแอฟมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
"ก็เป็นช่วงเวลาถึงหนึ่งในสาม ของชีวิตแอฟแล้วนะคะ(หัวเราะ ) เพราะฉะนั้นก็คือเป็นทุกอย่างค่ะเป็นทั้งที่ที่เราเติบโตทั้งในด้านของการทำงานทั้งในด้านของการเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับทั้งจากการถ่ายทำทั้งจากที่ได้เรียนรู้จากบทที่เราได้รับ ทั้งการเรียนรู้ในแง่ของประวัติศาสตร์ คือแอฟได้เรียนรู้หลายๆ ด้านหลายๆ แง่เยอะมากๆ เลยค่ะ คือแอฟก็คงไม่ต่างจากนักแสดงทุกคนที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ คือทุกคนรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งถึงแม้ว่าเราจะเป็นส่วนเล็กๆในภาพยนตร์"