‘นินิว กัญญารัตน์’ รองมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2011 "คุณครูดาราของเด็กๆ"
“นินิว-กัญญารัตน์ พงศ์กัมปนาท” เจ้าของตําแหน่งรองมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส จากเวทีการประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจําปีพ.ศ.2554 และได้เซ็นสัญญาเข้ามาเป็นนักแสดงในสังกัดของสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 มีผลงานละครผ่านสายตาผู้ชมมาแล้วมากมาย รวมทั้ง เรื่อง “วีรบุรุษกองขยะ” และ “หนีก็ล่า ซ่าก็รัก”
แนะนําตัวเองกับแฟนๆ...
“ชื่อ นินิว-กัญญารัตน์ พงศ์กัมปนาท อายุ 22 ปี เรียนอยู่ชั้นปีที่ 5 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
เอกศิลปะการแสดงศึกษา เรียนหลักสูตร 5 ปี เรียนเป็นครู ครูนาฏศิลป์ เพราะว่าเราชอบทางด้านศิลปะการแสดงอยู่แล้ว ก็จะไปเรียนรู้ช่วง ปี1-ปี4 แล้วก็ใช้ความรู้อันนี้ในการสอนเด็ก ก็ฝึกสอนปีนี้เลย เทอมแรกฝึกที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตรประถม ส่วนเทอมสองฝึกที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ต้องฝึก 2 เทอม 2 โรงเรียน
จริงๆ ถ้าถามว่ายากไหมอาชีพครู ก็ยากนะ อาชีพนี้จะมีความแตกต่างก็คือเป็นอาชีพที่ได้บุญ เราได้สอนเด็ก ได้ให้ความรู้เด็ก ต้องมีรายละเอียดในเรื่องของเทคนิคการสอนในการวิจัยความประพฤติ เด็กด้วยไม่ใช่แค่สอนอย่างเดียว ต้องพัฒนาหรือแก้ปัญหาจากที่เราทําวิจัย อะไรก็ตามที่เป็นปัญหาในชั้นเรียนอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็ถือว่าค่อนข้างหนัก ก็ต้องเขียนแผนการสอนว่าเราจะ ต้องทําอะไร จากนั้นก็ต้องทําวิจัยปัญหาเด็กไปด้วย ก็เข้าทํางานเหมือนเวลาราชการปกติ คือตั้งแต่ 06.30-14.30 น. คือ 06.30 น. นี่ก็ต้องออกจากบ้านแล้ว ไปถึงโรงเรียน ไม่เกิน 07.30 น.”
ผลงานในวงการ...
“ตอนนี้กําลังถ่ายทําละคร 1 เรื่อง คือ ‘แหวนสวาท’ ตรงนี้ในส่วนของช่วงปิดเทอมก็ได้มีการถ่ายทําไว้บ้างแล้ว ก็เลยต้องปรึกษากับอาจารย์ในระดับหัวหน้าและคณบดี ว่าเรามีงานละครที่ต้องรับผิดชอบอยู่ ซึ่งก็ไม่คิดว่ามันจะเกินมาจนถึงช่วงฝึกสอน เราก็เลยต้องดูตารางสอนของเราแล้วก็สลับสับเปลี่ยนกับ เพื่อนแลกชั่วโมงสอนกัน ถ้าเป็นไปได้ ก็คือไม่ให้เสียอะไรไปมากกว่ากัน คืองานก็ต้องได้ เรื่องเรียนก็ต้องไม่ทิ้ง ตอนนี้ลงตัวแล้ว คือไปคุยกับอาจารย์มา ปีนี้อาจจะรับละครน้อยลงหน่อยเพราะว่าอยากจะเรียนให้จบก่อน”
ความยากง่ายระหว่างการเป็นครูกับงานละคร...
“ยากกันคนละแบบ ยากต่างกันค่ะ อย่างเราเป็นนักแสดงมันเป็นศาสตร์ในเรื่องของการแสดงมันก็ต้องใช้ประสบการณ์ด้วย และบทบาทในละครเราต้องทําการบ้านเยอะเหมือนกัน ส่วนการเป็นครูก็ยากตรงที่เราต้องนําความรู้ที่ถูกต้องไปสอนเด็ก ให้เป็นทั้งคนดีและคนเก่งด้วย คือมันเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้เข้ามาตรงนี้ แล้วเราก็เรียนครูด้วย อย่างน้อยประสบการณ์ที่เราได้ หรือความรู้ที่เราได้ ก็สามารถนําไปแบ่งปันต่อให้กับนักเรียนได้
คือปีนี้จะเหนื่อยหน่อย ตอนแรกเราตั้งใจที่จะเรียนมาทางด้านนี้อยู่แล้ว แต่พอเราเข้าวงการในช่วงที่เราอยู่ปี 1 - ปี 2 ก็มีคนบอกว่าจะย้ายสาขาไหม ไปเรียน 4 ปี จบง่ายๆ แต่ว่าความมั่นคงมันไม่มี เรายอมเหนื่อยตอนนี้เพื่อว่าวันหน้าเราจะมีความมั่นคงในการทํางานด้วย ก็ต้องอดทนค่ะ”
เข้าวงการบันเทิง...
“หลังจากที่สอบติดเข้ามาเรียนที่ มศว ก็มีประกวดดาวเดือนทั่วไป อาจารย์เขาเห็นแวว ก็เลยบอกว่ามีการประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส
ปีนั้นเป็นปี 2554 ก็เลยลองไปสมัครดูเพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอมพอดี ก็ปรากฏว่าผ่านเข้ารอบ แล้วก็ได้ตําแหน่งมา ได้ที่ 3 ก็ได้ไปประกวดที่ เวทีเมืองนอกต่อ จากนั้นก็จะมีในส่วนของการได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดง ในสังกัดช่อง 7”
ชีวิตเปลี่ยนไหม...
“เปลี่ยน ตรงที่เราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องรับผิดชอบทั้งในส่วนที่เรียนอยู่แล้ว และในส่วนที่เราทํางานด้วย เพราะว่าโอกาส มาแล้ว และก็เป็นโอกาสทางด้านสายงานการแสดงซึ่งก็ตรงกับที่เราเรียนมาด้วยนะ คือเราจะได้ทางด้านของศาสตร์ของละครเพิ่มขึ้นด้วยนอกจากนาฏศิลป์แล้ว เราก็ต้องขยันและมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นก็อาจจะลดเวลาที่เราจะไปช้อปปิ้ง ไปเที่ยว เอาเวลาไปให้กับคิวงาน คิวละคร แต่เราเองก็ต้องไม่ให้เหนื่อยเกินไปด้วย”
คาแรคเตอร์ในละครเรื่อง ‘แหวนสวาท’...
“รับบทเป็น นงค์ราม เป็นแฟนของพระเอก ในเรื่องนี้จะเป็นแนวลึกลับ คอมเมดี้ ออกแนวผีๆ หน่อย นางเอกก็จะเป็นพี่แพนเค้ก ในเรื่อง
ก็คือเรารักกับพระเอกอยู่ แต่พอมาเจออีกคนก็ทําให้เราเปลี่ยนใจไปหาตัวร้าย สุดท้ายก็โดนหลอกอะไรอย่างนี้ เราก็จะมีระดับความร้ายของเรา แต่ก็ร้ายแบบมีเหตุมีผลนะคะ จะโดนคุณแม่ยุยงด้วย อยากให้คบกับผู้ชายที่รวยๆ แล้วก็เป็นคนที่มีแผนการอยู่ตลอดเวลา พอสุดท้ายโดนเขาหลอกก็เลยคิดจะกลับมาหาคนเก่าแต่เขาก็มีคนใหม่ไปแล้วอะไรอย่างนี้ เราก็เลยต้องร้าย เพราะต้องการจะได้พระเอกคืนมา แต่สุดท้ายก็ตาย แล้วก็จะตามแค้น กับบทบาทในเรื่องนี้ก็ต้องถือว่ายาก เพราะว่าปกติเราจะได้รับ แต่บทที่เป็นคนดี แบบเป็นเพื่อนนางเอก แก่นๆ ห้าวๆ แต่เรื่องนี้คือเป็นบทที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเลย เราก็เลยต้องทําการบ้านเยอะ แล้วก็คอยดูพี่ๆ นักแสดงคนอื่นเป็นแบบอย่างด้วย
ในเรื่องนี้ก็ได้ร่วมแสดงกับ อาดาว (ดวงดาว จารุจินดา) อาดาวก็จะสอนในเรื่องของการ ทําการบ้าน บทบาทของตัวละคร คาแรคเตอร์ของเรา แล้วก็ภาพที่จะออกมาด้วย ให้เรารู้จักดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญที่เราจะต้องใส่ใจดูแลตัวเองนิดนึง”
ผลงานที่ผ่านมา...
“ที่ผ่านมาเรื่องแรกเลยคือ ‘วิวาห์ฮาเฮ’ เรื่องต่อมาก็คือ ‘กู้ภัยหัวใจแหวว’ ตามมาด้วย ‘หยกเลือดมังกร’ แล้วก็ ‘คุณแม่เฉพาะหน้าคุณย่าเฉพาะกิจ’ ส่วนผลงานที่เพิ่งจบไปก็คือซิทคอมเรื่อง ‘7 มงกฎ’ ส่วนที่ถ่ายทําและกำลังออนแอร์ก็มีเรื่อง ‘วีรบุรุษกองขยะ’ และ ‘หนีก็ล่า ซ่าก็รัก’ ซึ่งก็โชคดีนะที่เป็นละครที่ถ่ายทํามาและถ่ายทําจบแล้ว เพราะถ้าเป็นช่วงที่ต้องไปฝึกสอนเราอาจจะรับงานไม่ได้ แล้วมันมีละครที่ยังออกอากาศทําให้คนดูยังเห็นเรา เพราะกลัวเหมือนกัน กลัวคนดูลืม” (หัวเราะ)
วงการบันเทิงให้อะไรกับเราบ้าง...
“อับดับแรกเลยคือในเรื่องของการทํางาน ซึ่งในวัยนี้เพื่อนๆ ก็ยังเรียนกันอยู่เลย ยังสนุก ยังเที่ยว เราก็จะมีโมเมนต์ที่บอกตัวเอง ว่า เราต้องทํางาน ต้องรับผิดชอบตรงนี้ก่อนนะ อีกอย่างหนึ่งก็คือประสบการณ์ที่ได้จากการแสดง ที่เราจะต้องทําการบ้านเยอะๆ อยากเป็นนักแสดงที่เก่ง แล้วก็สามารถเอาไปประกอบวิชาชีพที่เราเรียนมาเอาไปเป็นครูได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือมิตรภาพ มิตรภาพระหว่างพี่ ระหว่างผู้ใหญ่ที่เราเจอ คือการทํางานในแต่ละกองก็จะเจอบุคคลที่หลากหลาย แตกต่าง แล้วเขาก็สอนเรา ให้ความรู้เรา หรืออย่างปัญหาที่เราเจอเขาก็จะช่วยแนะนํา และสุดท้ายเลยก็คือเรื่องของการเรียนรู้กับปัญหา อย่างเช่น จะต้องมีอยู่แล้วที่เราจะต้องรู้สึกท้อ จะต้องเหนื่อยบ้าง ซึ่งมีบ่อยมาก เพราะไหนเราจะต้องเรียนด้วย ต้องทํางานด้วย ซึ่งเราเป็นเด็กเราก็ต้องอยากไปเที่ยวไปสนุกกับเพื่อนๆ แต่ก็ต้องบอกตัวเองเสมอว่า ต้องอดทน ให้เราค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ แก้ปัญหา แล้วก็อยู่ให้ได้
ให้มีความสุขที่สุด”
อยากลองงานด้านอื่นๆ...
“อยากทํางานพิธีกร เพราะคิดว่ามันสนุกดี อย่างที่เราอ่านข่าวเส้นทางบันเทิงอะไรอย่างนี้ แต่ว่าเรื่องของการทําพิธีกรอย่างเป็นงานเป็นการ การพูดชักจูงอะไรอย่างนี้เราไม่ค่อยเก่ง ต้องเรียนรู้ แต่ก็เป็นสิ่งที่อยากลองค่ะ”
คติประจําใจไว้เตือนตัวเอง...
“อดทนวันนี้เพื่อวันข้างหน้า และทํามันให้ดีที่สุด”