“เอ๋ อัจฉรา” โรครุมเร้า พ้อ...แอบคิด "นอนหลับแล้วขอไม่ตื่น"

“เอ๋ อัจฉรา” โรครุมเร้า พ้อ...แอบคิด "นอนหลับแล้วขอไม่ตื่น"

1

“เอ๋ อัจฉรา” โรครุมเร้า พ้อ...แอบคิด "นอนหลับแล้วขอไม่ตื่น"

     ชีวิตจริงกว่านิยาย สำหรับอดีตนางเอกสาวชื่อดัง “เอ๋-อัจฉรา ทองเทพ” ที่หลายโรครุมเร้าทั้ง “โรคพุ่มพวง-โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว” กระทั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมาถูกหามตัวเข้าโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ เหตุการณ์ “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” เรียกว่าเจอมรสุมหนัก แต่สุดท้ายชีวิตก็ผ่านพ้นมาได้ ล่าสุดขอเปิดใจอีกครั้งถึงอาการเจ็บปวด โดยเจ้าตัวเผยว่า   

ถามถึงเรื่องสุขภาพก่อนเลย ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว 

     “เอ๋เป็น SLE มา 11 ปีแล้วนะ แต่เจอโรคมะเร็งมาเมื่อปีที่แล้ว และเส้นเลือดตีบก็ทำบอลลูนมาจนหัวใจวาย อาการหัวใจวายไม่มีอะไรเตือนเลยปกติมากไม่มีเหนื่อย ไม่มีอาการหายใจไม่สะดวก ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเราจะหัวใจวาย เอ๋นอนอยู่แล้วเกือบๆ ตี 4 ก็หายใจไม่ออกเลยสะดุ้งตื่นและสู้กับมัน พยายามที่จะดิ้นและหายใจทางปาก” 

ก่อนหน้ามีเหตุการณ์อะไรบ่งบอกมั้ยว่าจะเกิดเรื่องนี้ 

      “ไม่มีนะ ก็ปกติทุกอย่าง ถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทันก็อาจจะเสียชีวิต เพราะขาดอากาศ 3.6 นาที คุณแม่บอกว่าคุณหมอบอกว่าถ้าฟื้นขึ้นมาก็ทำใจหน่อยนะ อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทรา คุณหมอเก่งมาก คุณแม่บอกว่าคุณหมอปั้มหัวใจแล้วฉีดยากระตุ้นตลอด คุณหมอฉีดสีก่อนแล้วเจอว่ามันตีบก็รีบผ่าตัดที่ขาหนีบแล้วใส่ท่อเข้าไปที่หัวใจแล้วฝังขดลวดเอาไว้เลยเพื่อให้เส้นเลือดขยาย” 

แล้วตอนนี้ยังเข้าออกโรงพยาบาลอยู่อีกมั้ย 

     “ยังคะ เข้าโรงพยาบาลวันเว้นวัน วันเว้นสองวันไม่เกินนี้ หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาชีวิตก็เปลี่ยนไปเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการกิน การนอน การเดิน ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไป อย่างของมันกินไม่ได้เลย พวกน้ำมันก็ต้องเปลี่ยนเป็นน้ำมันมะกอกหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์” 

ถามถึงเรื่องค่าใช้หน่อย เยอะมั้ยสำหรับการเข้าโรงพยาบาลในครั้งนี้ 

     “เยอะนะคะ สำหรับการรักษา 3 โรค เพราะเป็นโรค SLE มา 11 ปีละปีที่แล้วก็มาเป็นมะเร็งเมล็ดเลือดขาวในระยะที่ 2 แล้วมาหัวใจวายอีก ค่าใช้จ่ายต่อเดือนก็แสนนิดๆ แสนต้นๆ รวมทั้งหมดก็กว่าล้านแล้วคะสำหรับการรักษา” 

ค่าใช้จ่ายเยอะขนาดนี้มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง 

     “ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัวคะ คุณแม่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เอ๋ก็ไปช่วยงานครอบครัวตรงนั้น เราก็เอาเงินจากตรงนั้นมาเป็นค่าใช้จ่าย ค่ายาได้ มะเร็งเมล็ดเลือดขาวเป็นอะไรที่รักษาไม่ได้ ทำยังไงที่ไม่ให้แตกให้มันกระจาย ก็ต้องกินยาบำรุง แต่มันไม่สามารถรักษาได้อยู่แล้ว เอ๋ลองให้คีโมแล้วคะ แต่เราแพ้สารเคมี ทุกวันนี้ก็ใช้ธรรมมะบำบัด  เราอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับเรื่องราวที่เป็นความจริง ครั้งหนึ่งเราก็เคยท้อว่าอะไรๆ ก็เกิดกับฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างอะไรกัน เราไม่ได้ทำชั่วไม่ได้ทำร้ายใครนะ แต่วันนี้เข้าใจทุกอย่าง ถ้ามีคำว่าทำไม เมื่อนั้นเราก็ทำร้ายตัวเอง ช่วงไหนว่างก็จะพาลูกสาวไปด้วยไปทำสมาธิ ปฎิบัติธรรม มาเรียนรู้ตัวเอง ไปปลงให้ได้ ไปยอมรับความจริงให้ได้” 

กับโรค SLE ยังคงต้องดูแลขนาดไหน 

     “ยังต้องรักษาตลอด ก็มีผลกับการใช้ชีวิตประจำวันเหมือนกัน ห้ามโดนแดด โดนลม โดนฝน ใช้ชีวิตลำบากมากแต่ก็ทำใจได้ พยายามที่จะอยู่ให้เหมือนคนปกติ พยายามที่จะเพื่อนๆ เพื่อนๆ น่ารักคะ ครอบครัวน่ารัก ให้กำลังใจ  เพื่อนๆ พี่นักแสดงน่ารักมาก โดยเฉพาะพี่จิ๋ม ปนัดดา พี่อูม วิยดา พี่แตน ราตรี จะเจอกันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ เจอกันเดือนละ 2 ครั้ง” 

ตอนนี้ยังมีอาการเจ็บปวดอยู่มั้ยจากการผ่าตัด 

     “ก็มีตอนเวลาก้มกับเวลาที่จะนอน ช่วงลุกที่ต้องเกร็งหน้าอก มีเสียวๆ อยู่บ้าง อาการหัวใจวายก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้อีก เพราะว่าเส้นหัวใจเรามี 3 เส้น ตีบไป 1 เส้นเหลืออีก 2 เส้น ก็สามารถหัวใจวายได้ตลอดเวลา ตอนนี้พี่ตัดม้ามไปแล้วเพราะ SLE กำเริบ ตัดไส้ไป 1เมตร 20 พอไม่มีม้ามตับก็ต้องทำงานหนัก ก็เลยต้องเจาะตับ เพราะตับบวม ก่อนหน้านั้นปีกว่าๆ ก็เส้นเลือดในสมองตีบ ก็ต้องเจาะสมองผ่าสมอง” 

เอ๋อยู่กับโรคเหล่านี้ได้ยังไง 

     “เอ๋อยู่กับความจริง พูดแล้วก็เจ็บปวดนะ น้อยใจว่าทำไม อะไรกันหนักหนาคนอื่นไม่เห็นจะเป็นอะไร มาลงกับเราคนเดียว มีอารมณ์ที่อยากนอนแล้วหลับไม่ตื่น แต่ไม่คิดที่จะกล้าตัวนะ บอกตัวเองแค่ว่าไม่ตื่นได้มั้ยอะ มันไม่ไหวแล้วมันปวดกระดูก” 

ใครเป็นกำลังใจให้เอ๋ลุกขึ้นสู้ 

     “เพื่อนๆ ครอบครัวและก็ลูก” 

สู้ขนาดนี้อยากจะกลับมารับงานในวงการมั้ย 

     “ก็มีเริ่มรับบ้างแล้วนะ มีละครของ อาเปียก-พิศาล และหนัง ถามว่าไหวมั้ย เรารักในการแสดงนะ แต่ร่างกายเราไม่อำนวยเท่านั้นเอง ถามว่ากลัวอาการจะกำเริบมั้ย ไม่นะ แต่อะไรที่คิดว่ามันแน่นอนก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน ก็เลยได้แต่คิดบวกเท่าที่เราทำได้” 

เคยคิดหรือเปล่าว่าความตายอยู่แค่เอื้อม 

     “เมื่อก่อนรับไม่ได้ ถ้าฉันต้องตายลูกฉันละ แม่ฉันละ แต่ ณ วันนี้คนเราถ้ามันต้องตายก็คือตาย  คิดว่าคนที่ตายแล้วก็หมดกรรม เราปลงมากขึ้น เราก็เข้าหาธรรมมะ แต่ก็ไม่ถึงจะบวช เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ ยังมีความต้องการ ยังมีความหวัง ยังอยากจะเห็นลูกโต ฉะนั้นก็ไม่ถึงกับขนาดปลงแล้วบวช” 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Comments