"กู๊ด KPN" ลาวงการ
หลังจากที่หนุ่ม “กู๊ด ชยพล ปัญหกาญจน์” หรือ “กู๊ด KPN” เข้าร่วมแข่งขันบนเวที เคพีเอ็น อวอร์ด ครั้งที่ 22 และได้รับรางวัลชนะเลิศ ดูเหมือนว่างานในวงการบันเทิงก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา แม้จะไม่โดดเด่นในงานเพลง แต่งานด้านการแสดงก็มีเข้ามาตลอด ล่าสุดละครบ่วงมารที่หนุ่มกู๊ดเป็นพระเอก ก็กำลังออนแอร์อยู่ แต่กลับมีกระแสข่าวว่าเจ้าตัวเตรียมหันหลังให้วงการบันเทิง งานนี้ดาราเดลี่จึงต่อสายตรงสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว โดยกู๊ดเผยว่า
“ผมอยู่วงการบันเทิงมาประมาณปีครึ่ง ประกอบกับที่เราจบจากคณะเศรษฐศาสตร์ ก็เลยตัดสินใจว่าบางครั้งมันถึงจุดๆ นึงที่เราอยากจะไปเรียนต่อ ไม่ใช่เพราะเราถึงจุดอิ่มตัวในวงการ แต่เรามองว่าบางสิ่งที่เราชอบอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา และเราคิดว่าการเรียนน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าหรือเปล่า เลยหาคำตอบดู เรื่องเรียนตอนนี้ก็ตัดสินใจจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ตอนนี้อยู่ในช่วงของการสอบ เพราะว่ากู๊ดตัดสินใจเมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้วว่าจะไป ตอนนี้ก็หยุดรับงานทุกอย่าง เพราะเราต้องเตรียมตัวในการสอบทั้งหมด 3 ตัว เพื่อจะเอาคะแนนไปยื่นให้กับทางมหา’ลัย ปีหน้าก็จะไปแน่นอนครับ กู๊ดตั้งใจไว้ว่าอยากเรียนจนจบดอกเตอร์เหมือนกัน เพราะเราอยากเป็นอาจารย์เหมือนพี่นาวิน ต้าร์ด้วย เพราะพี่นาวิน ต้าร์สอนด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย แต่ก็ต้องประเมินตัวเองอีกทีว่าจะไหวหรือเปล่า
ตอนที่ตัดสินใจก็มีการปรึกษาพี่เกรท และคุณพ่อคุณแม่ ตอนแรกเค้าก็ไม่อยากให้เราไป อยากให้ทำงานอยู่ตรงนี้ก่อนเพราะเราเพิ่งทำมาแค่ปีกว่าเอง น่าจะอดทนอีกนิดนึง แต่สำหรับกู๊ดรู้สึกว่าเราก็อยู่ในจุดๆ นึงที่เราแฮปปี้เวลาเราไปทำงาน แต่มันมีเรื่องราวมากมายในการทำงานในวงการที่เรารู้สึกว่าไม่สบายใจ และรู้สึกไม่แฮปปี้กับมันมากนัก เลยตัดสินใจว่าอยากไปเรียน และเข้าไปคุยกับคุณกรณ์ว่าอยากจะไปเรียน คุณกรณ์ก็ถามว่าทำไมถึงอยากไป กู๊ดก็เลยเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นว่าทำไมเราถึงตัดสินใจแบบนี้ ตอนที่เข้าไปคุยกับคุณกรณ์ กู๊ดเองก็ค่อนข้างกลัวเหมือนกัน เพราะเค้าลงทุนไปกับเราเยอะ แต่เค้าตอบกลับมาว่าโอเค มันคือชีวิตของเรา เค้าบอกว่าถ้ากลับมาก็มาร่วมงานกันได้ เค้ายินดีต้อนรับเรา เรื่องน้อยใจที่มีคนเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น มันก็มีส่วนนิดนึง ผมเป็นคนที่ค่อนข้างคาดหวังตั้งแต่ตอนเข้ามาในวงการแรกๆ แล้วว่า เราอยากจะมีวันนึงที่เราประสบความสำเร็จ อยากจะไปยืนอยู่ในจุดๆ นึงที่เราหวังไว้ ถามว่าตอนนี้พอใจไหม ผมก็พอใจในระดับนึง แต่มันไม่ใช่จุดที่ผมคาดหวังไว้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามา มันก็เลยเป็นการกดดันตัวเองว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้ จนทำให้มีความคิดนึงขึ้นมาว่า หรือนี่อาจจะไม่ใช่ที่ของเรา ประกอบกับปัญหาหลายๆ อย่าง การทำงาน การเจอคนที่เราไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าลักษณะการทำงานของคนวงการบันเทิงบางทีมันก็ค่อนข้างที่จะโหด และมันก็ไม่แฟร์กับหลายๆ คนในบางสถานการณ์
อย่างตอนทำงานเราเจอคนที่รู้สึกว่าเราทำงานด้วยแล้วมีความสุข แต่บางคนเรารู้สึกว่าทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ในการทำงานร่วมกัน ทั้งๆ ที่เรามีเป้าหมายเดียวกันคืออยากให้งานออกมาดีที่สุด ประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่ด้วยความที่กู๊ดอาจจะเป็นคนที่ไม่เคยมองในมุมมองของคนอื่น เลยทำให้รู้สึกว่าเราอาจจะถูกเอาเปรียบหรือเปล่า เหมือนเราไม่เข้าใจในวิธีการทำงานของเค้า อย่างบางคนที่ทำผิด ทำไมเราไม่ไปชี้แจงเค้าว่าแบบนี้ผิด กลับกลายเป็นว่าเรากลัวที่จะไปบอกเค้าว่าสิ่งที่เค้าทำมันผิด เหมือนเค้ามีอำนาจหรือมีตำแหน่งที่ใหญ่กว่า เชื่อว่าทุกคนต้องมองว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ทำไมเราถึงกลัวที่จะพูด
เสียดายโอกาสไหม ต้องบอกว่าเสียดายมากๆ แม่ก็จะถามตลอด เพราะกว่าเราจะเข้ามาในวงการนี้ได้มันก็ยากมาก แต่ผมเคยคิดที่จะไปเรียนต่อตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะความเสียดายนี่แหละเลยอยู่มาจนถึงวันนี้ แต่วันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะผมก็ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง เลยตัดสินใจไปเรียนดีกว่า เพราะมันมีแบบแผนที่ชัดเจนครับ