ผันตัวเองจาก “นักร้องค่ายเคพีเอ็น” มารับบทหนึ่งใน 3 นางเอกแต่แอบร้าย ในละครเรื่อง “ธิดาแดนซ์” ทางช่อง 3 ค่ายเพ็ญพุธ ในเครือจันทร์ 25 ทําเอานักแสดงสาว “เฟื้อง-รักชน พุทธรังสี” ถึงกับเครียด เพราะรอลุ้น
ว่าคนดูจะชอบบทบาทที่เธอเล่นหรือไม่ และเธอจะผ่านกับการแสดงละครเรื่องแรกหรือเปล่า
บท ‘สร้อยเพชร’ ยากง่ายอย่างไรบ้าง...
“คาแรคเตอร์ของสร้อยเพชร จะเป็นคนรักสวยรักงาม มีความทะเยอทะยาน พยายามที่จะทําให้ฝันเป็นจริงจนเกือบจะทําให้ชีวิตผิดพลาด เป็นตัวละครที่ค่อนเอาแต่ใจตัวเอง ถามว่ากลัวคนดูจะไม่ชอบเรามั้ย เฟื้องไม่กลัวนะ เพราะรู้ว่าคนดูสมัยนี้แยกแยะออกว่านี่คือการแสดง จะดีซะอีก
ถ้าคนดูรู้สึกแบบนั้นได้ก็แสดงว่าเราเล่นได้ดีจนอินนะคะ
ถามว่ายากมั้ย ก็ยากค่ะ ตอนแรกๆ งงเลย ที่ผ่านมาเคยเรียนแอ็คติ้ง กับเพื่อนๆ ในห้องเรียนบ้าง แต่พอมาทํางานในกองถ่ายเรามีความใหม่มาก จึงต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานพอสมควร การแสดงละครเราจะต้องตีบทให้แตกเพื่อแสดงตามบท มันก็ยากนะคะ”
ชีวิตจริงกับในละคร มีความอยากเป็นนักร้องเหมือนกัน...
“ก็มีความคล้ายกัน เพราะเฟื้องเข้ามาเพราะการประกวดจึงต้องมีการแข่งขัน แต่ไม่ได้เยอะเหมือนตัวละครสร้อยเพชร ด้วยความที่เขามีปมในอดีตเลยพยายามที่จะลบปมตัวเองให้ได้เพื่อให้คนเลิกมองว่าเป็นคนไม่ดีทั้งๆ ที่ไม่มีใครมองเธอแบบนั้น เรียกว่าคิดไปเอง จึงพยายามที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองสามารถมีชื่อเสียงประสบความสําเร็จได้ ไม่ใช่เป็นแค่
ขี้ขโมยเหมือนตอนเด็กๆ คงเป็นเพราะจุดนี้ที่ทําให้ผู้ใหญ่เลือกเฟื้องให้
มาเล่นเรื่องนี้ เพราะตัวจริงเฟื้องร้องเพลงได้ เต้นได้ เมื่อได้รับการติดต่อมา จึงไม่ปฏิเสธค่ะ”
ในละครเรื่องนี้มีเพลงของตัวเองด้วย...
“ใช่ค่ะ เป็นแนวลูกทุ่ง เป็นเพลงเดี่ยว ชื่อเพลง ‘ปูหนีบ’ แล้วก็มีอีกเพลง ร้อง 3 คนชื่อเพลง ‘ธิดาแดนซ์’ แรกๆ ไม่ชินก็รู้สึกว่ามันยาก ตอนได้เดโมเพลงให้เรามาฝึกก็พยายามทําการบ้าน ฝึกอย่างหนักเลย เพราะที่ผ่านมาเฟื้องร้องเพลงจะร้องแต่แนวป๊อปมาตลอด เคยร้องเพลงลูกทุ่งตอนประกวดนิดนึง ตอนนั้นก็เครียดไปเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เราพยายามฝึกปรากฏว่าในสัปดาห์นั้นคะแนนโหวต เฟื้องได้คะแนนสูงสุด มันก็ทําให้เรามีความมั่นใจขึ้นมา เหมือนกันว่าเราทําได้นี่ หลังๆ มาไปออกงานต่างจังหวัดก็มีร้องเพลงลูกทุ่งเหมือนกัน ถือเป็นการฝึกไปในตัว แต่พอต้องมาร้องเพลงในละคร เป็นเพลงของเรา แรกๆ มันก็เครียดนะ แต่พอฝึกไปสักพักมันก็เริ่มลดความกดดัน จากที่รู้สึกยากมันก็เริ่มง่ายขึ้นค่ะ”
ความฝันตอนเด็กๆ เป็นอย่างไร...
“ความจริงเฟื้องมาสายร้องเพลงตลอด เริ่มฝึกร้องเพลงตั้งแต่อายุ 14 ค่ะ เข้าโรงเรียนชื่อว่า อี มิวสิค พอเรียนไปสักพักก็เลยลองไปออดิชั่นตามค่ายเพลงอยู่หลายรอบ แล้วก็ยกเลิกสัญญา จนมาเริ่มประกวดจริงจังตอนเข้ามหา’ลัย ปี 1 ตามเวทีใหญ่ AF ก็ไปนะคะ แต่เข้าถึงรอบสุดท้ายที่จะเป็นตัวจริง 20 คนสุดท้ายเฟื้องก็หลุด ส่วน The Star ก็ไป แต่ไม่ได้เข้าไปไกล
ลึกถึง AF
นอกจากนี้ก็ประกวดนางแบบ นางงาม ประกวดเต้น เรียกว่าไม่ทําอะไรเลย ประกวดจริงจังมากอยู่ 1 ปี ใจตอนนั้นคิดแต่จะเป็นนักร้องอย่างเดียว แต่ก็ไม่ได้อย่างที่หวัง ยอมรับว่าตอนนั้นเริ่มท้อ ตัดสินใจว่าฉันจะกลับไปตั้งใจเรียนแล้ว หยุดการประกวดซะที เผอิญคุณแม่อยากให้ลองไปประกวดเวทีเคพีเอ็น ท่านอยากให้ไปมาตั้งนานแล้วแต่เฟื้องไม่กล้า เพราะเห็นมีแต่รุ่นพี่ที่เก่งๆ อาทิ พี่เจนนิเฟอร์ คิ้ม, พี่เบิร์ด-ธงไชย, พี่ทาทา ยัง อะไรแบบนี้ แต่คุณแม่ก็บอกให้ลองดู เลยทําให้เฟื้องเก็บตัวไปเข้าเรียนทั้งการร้องการเต้น 1 ปีเต็มๆ พอขึ้นกลางเทอมปี 3 เคพีเอ็นเปิดประกวดเฟื้องก็ตั้งใจไปประกวดเลย ผลออกมาเฟื้องได้ที่ 3 ยอมรับ
ว่าดีใจมากๆ เพราะก่อนหน้านั้นเราก็พยายามประกวดมาหลายเวที แต่เวทีเคพีเอ็นเป็นเวทีที่เฟื้องกลัวที่สุด เพราะพลังเสียงล้วนๆ และเป็นความโชคดีจังหวะที่เฟื้องเข้าไปประกวดเขาเปลี่ยนรูปแบบพอดี มีสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็น
ฝั่งเสียง อีกฝั่งหนึ่งเป็น performance เฟื้องก็เลยไปอยู่ฝั่ง performance ได้ค่ะ”
ระหว่างการเป็นนักร้อง กับการเป็นนักแสดง ตอนนี้ถ้าให้เลือกจะเลือกอะไร...
“ถ้าให้เลือกตอนนี้แบบไม่ห่วงอะไรเลยนะ ตอนนี้ชอบการแสดง เพราะเฟื้องรู้สึกว่าที่ผ่านมาเฟื้องทุ่มเทมากกับการประกวดร้องเพลง และมาวันนี้เราก็ทําสําเร็จแล้ว แต่งานแสดงเราเพิ่งจะได้ลองทํา มันก็ทําให้เราอยากจะทุ่มเทให้กับมันเต็มที่เหมือนกันซึ่งเรายังไม่รู้ผล อันนี้เฟื้องพูดจากใจจริงๆ นะคะ เพราะตอนนี้เฟื้องก็เป็นนักแสดงอิสระ ยังไม่ได้เซ็นสัญญากับใครเรื่องงานแสดง แต่เฟื้องมีสัญญากับเคพีเอ็นอีก 4 ปี ตอนนี้ยอมรับว่ากําลังสนุกกับการแสดงค่ะ”
ครอบครัวว่าอย่างไรกับสิ่งที่เราทําในวันนี้...
“เฟื้องอยู่กับคุณแม่สองคน เพราะคุณพ่อไปมีครอบครัวใหม่แล้วค่ะ ตลอดเวลาเฟื้องอยากทําอะไรคุณแม่จะให้การสนับสนุนทุกอย่าง ไปรับไปส่งให้เรียนร้องเพลง เรียนเต้น เวลาไปประกวดก็จะพาไป เพราะเรามีกันแค่ 2 คน ไปไหนก็จะไปด้วยกันตลอด”
พอเป็นที่รู้จักชีวิตอาจจะเปลี่ยนแปลงไป เตรียมใจในจุดนี้
แค่ไหน...
“ยอมรับว่าเตรียมใจไว้แล้วว่าชีวิตต้องเปลี่ยนไปบ้าง ความเป็นส่วนตัวน้อยลง แต่ถามว่าอึดอัดมั้ย ไม่นะคะ เพราะเรารู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ มันจึงไม่
รู้สึกอะไรมาก รับได้ค่ะ อีกทั้งเฟื้องก็อยู่กับเคพีเอ็น ไปไหนมาไหนก็มีคนช่วยดูแลด้วย มันก็ทําให้เราอุ่นใจว่าไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วถูกจับจ้อง ความรู้สึก
ว่ามีพี่ เพื่อน อยู่ด้วย มันก็ทําให้สบายๆ ค่ะ”
ตัวตนจริงๆ ของ ‘เฟื้อง’ เป็นคนยังไง...
“เฟื้องเป็นคนมีหลายมุมนะ ถ้าดูเฟื้องผ่านจากรายการเคพีเอ็น เฟื้องก็จะเป็นคนหนึ่งที่ดูแรง พูดจาตรงไปตรงมา ดูมั่นใจในตัวเอง ดูเป็นสาวเปรี้ยวเซ็กซี่ ด้วยรูปแบบของรายการทําให้เราต้องพูดกัดผู้ประกวดคนนั้นคนนี้บ้าง เลยทําให้เราดูแรง แต่ถ้าใครรู้จักเฟื้องจะรู้ว่าเราไม่ใช่เป็นคนพูดจาแบบนั้นตลอดเวลา อย่างเวลาเฟื้องอยู่กับเพื่อนก็จะเฮฮาบ้าบอเหมือน
วัยรุ่นทั่วๆ ไป
แล้วอีกมุม อันนี้ส่วนน้อย เพื่อนบางคนก็รู้ว่าเฟื้องเล่นดนตรีไทยได้ ขิม ซอด้วง ซออู้ เล่นตั้งแต่ 5 ขวบแล้ว ก็เล่นมาเรื่อยๆ จนถึง ม.6 เฟื้อง
ก็เริ่มเป็นครูสอนดนตรีไทยที่โรงเรียน อี มิวสิค ที่เฟื้องเรียนร้องเพลง เขาเห็นว่าเฟื้องมีความสามารถในจุดนี้ บวกกับเขาอยากเปิดสอนดนตรีไทยมานานแล้วก็เลยเปิดแผนกนี้ให้เฟื้องเป็นครูสอน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจึงหยุดสอนไป ถ้าคนรู้จักผิวเผินก็จะไม่รู้ว่าเฟื้องมีมุมนี้ด้วยค่ะ
นอกจากนี้อีกมุมเวลาเฟื้องจะคุยกับคุณแม่เพื่อนๆ ที่เห็นก็จะงง เพราะถ้าอยากคุยโทรศัพท์เฟื้องก็จะถามคุณแม่ว่า ‘คุณแม่จะสะดวกคุยมั้ยคะ เฟื้องมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ’ เพื่อนๆ ก็จะงงว่าเฟื้องพูดกับ
คุณแม่ขนาดนี้เลยหรือ เราสนิทกันนะ แต่เวลาพูดเราจะเรียกคุณแม่ว่า ‘คุณแม่คะ’...ตลอด คนก็เลยงงว่าเฟื้องเป็นยังไงกันแน่ เวลาอยู่กับเพื่อนก็รั่วๆ เวลาอยู่กับคุณแม่ก็ดูเรียบร้อย แต่พออยู่ในเคพีเอ็น ก็ดูเป็นสาวเปรี้ยว พอจับไปอยู่กับดนตรีไทยก็ดูเรียบร้อยเหมือนกัน
สรุปแล้วเฟื้องขึ้นอยู่กับกาลเทศะมากกว่า ว่าเราอยู่กับใคร มันไม่ใช่การเฟคนะ เพียงแต่เฟื้องรู้สึกว่ามันเป็นความเหมาะสม
ในการปฏิบัติตัวว่าเราจะอยู่ในมุมไหนกับใครมากกว่าค่ะ”