น้ำตาร่วง! ความในใจของคุณพ่อ "วีระกานต์" ถึง "สิงห์" ลูกชายสุดที่รัก
นับว่าเป็นเรื่องสะเทือนวงการเพลงครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ กลับการสูญเสียมือกีต้าร์ชื่อดังอย่างหนุ่ม "สิงห์ มุสิกพงศ์" หรือ "สิงห์ สควีซแอนิมอล" โดยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นวันฌาปนกิจศพของหนุ่ม "สิงห์" และสิ่งที่เรียกน้ำตาจากคนรักหนุ่ม "สิงห์" ก็ดูเหมือนจะเป็นความอาลัยของคุณพ่อ "วีระกานต์ มุสิกพงศ์" ที่ได้บรรยายความในใจถึงลูกชายสุดที่รักว่า
"เมื่อเพื่อนร่วมงานของสิงห์บอกว่าจะทำหนังสืออนุสรณ์งานศพ ขอให้พ่อเขียนบทความสักชิ้นหนึ่ง พ่อก็ดีใจ ทั้งที่สมองมึนตึ้บไปหมด ด้วยว่าต้องมาสูญเสียลูกกะทันหัน ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก พ่อเคยฝึกกรรมฐานมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยคิดว่า จะต้องใช้กรรมฐานเพื่อลดความโศกเศร้า หรือระงับความอาลัย กรณีที่ต้องสูญเสียแก้วตาดวงใจ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่หลวงขนาดนี้ เมื่อจะเขียนถึงลูกพ่อก็ต้องร้องไห้ทุกวรรคทุกตอน ไหนจะสับสน เพราะมันต้องสู้กันระหว่างอารมณ์ปุถุชน กับนักเรียนกรรมฐาน แต่ในที่สุดพ่อก็จำเป็นต้องวางกรรมฐานไว้ชั่วคราว ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นตัวนำทาง
พ่อร้องไห้เพื่อสิงห์โดยไม่เสียดายน้ำตาแล้วค่อยๆ ระลึกย้อนไปในอดีต สิงห์เป็นทารกอารมณ์ดี อ้วน จ้ำม่ำ ชอบนอนซุกหัวกับอกพ่อและแม่ น่ากอดเป็นที่สุด จนพ่อตั้งสมญาให้ว่า "เจ้าด้วงซุก" เพราะนอนขดตัวเหมือนด้วง วัยเด็กตอนเรียนอนุบาล สิงห์เคยเขียนการ์ตูนเป็นช่องๆ เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นที่เด็กนิยมอ่านกัน ของสิงห์ชื่อว่า "บ้านหรรษา" เอามาฝากพ่อ แสดงถึงความรักความอบอุ่นของสมาชิกครอบครัวเรา พ่อแอบอ่านปลื้มว่าลูกโตคงได้การ
ความที่เป็นเด็กอ้วนยังแถมอารมณ์ดีอีก ชอบตลก โดยเฉพาะ "ท่าเต้นลูบเป้า" ของไมเคิล แจ็คสัน สิงห์เลียนแบบได้ครื้นเครงมาก พ่อเคยล้อเสมอว่า สิงห์ไม่ต้องเรียนสูงก็ไม่อดตาย เพราะมีงานรออยู่ คือเป็นสมาชิกตลก "เชิญยิ้ม" ของอาเป็ดและอาโน้ตสบายๆ
น่าเสียดายที่พอเปลี่ยนวัย บุคลิกภาพก็เปลี่ยนไป สิงห์ก้าวสู้วัยรุ่น ขณะเรียนอยู่ประเทศอังกฤษ สิงห์เริ่มควบคุมหุ่นตัวเอง เลิกเล่นตลก จากเด็กอ้วนชอบเข้าครัวผัดก๋วยเตี๋ยว ผัดข้าวให้พี่ให้น้องกิน มาเป็นเด็กหุ่นดี ใบหน้าเรียบเฉยถึงขั้นเงียบขรึม ปิดเทอมที น้องๆ ที่เป็นลูกของน้าและลูกของลุงออกปากว่า พี่สิงห์เป็นคนน่าเกรงขาม ไม่มีใครตอแยด้วย
สิงห์เรียนจบมัธยมแล้วเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสาขา graphic design ทั้งที่ครูแนะแนวจากโรงเรียนบอกว่าไม่จำเป็น ให้เอาดีทางดนตรีไปได้เลย สิงห์เรียน graphic อยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าไม่ใช่ทางแห่งความสำเร็จจึงย้ายคณะไปเรียน sound engineer แต่แล้วก็เกิดความรู้สึกเดิมอีก จึงดรอปออกมาทำงาน music ที่เขาชอบ
ความจริงตลอดเวลาที่ว่านั้นสิงห์จับกีตาร์มากรีดเสียงเป็นประจำแล้ว เขากินนอนอยู่กับมัน ลูบคลำมัน และฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง เล่นเองฟังเอง หลายครั้งพ่อกำลังคุยโทรศัพท์ทางไกลข้ามทวีปกับพี่และน้อง ได้ยินเสียงกีตาร์แผดแทรกเข้ามา ต้องเตือนว่าระวังเพื่อนบ้านจะขว้างเอา จากนั้นไม่นานก็ทราบข่าวว่าสิงห์เข้าผสมวงกับเพื่อนนักเรียนไทยกลุ่มหนึ่งเล่นดนตรีตามฝันเสียแล้วพ่อไม่สงสัยเลยที่สิงห์ชอบดนตรีเพราะปู่ของพ่อซึ่งก็คือปู่ทวดของสิงห์เป็นนักดนตรีไทยคนสำคัญของท้องถิ่นแถวคาบสมุทรสทิงพระท่านฝึกฝนเองเล่นเองจนชำนาญ เป็นครูสอนคนอื่นเขาได้นักเลงทางด้านดนตรีเรียกชื่อท่านว่าหนูปี่เพราะชื่อจริงท่านคือ นายหนู อันเป็นที่มาทางสกุล "มุสิกพงศ์" นั่นเอง
มีนิสัยประจำตัวอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้พ่อต้องครั่นคร้ามสิงห์อยู่ไม่น้อย นั่นคือความเป็นตัวของตัวเอง ความซื่อตรงต่อตัวเอง จะยกตัวอย่างให้สักเรื่องสองเรื่อง ขณะเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมในประเทศอังกฤษ โรงเรียนเขาบังคับให้นักเรียนเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ กำหนดเป็นวิชาเลือก แต่นักเรียนคนใดไม่เข้าโบสถ์จะถูกตัดแต้ม แต่สิงห์ไม่เข้าโบสถ์ ทางบ้านทราบเรื่องนี้ เพราะทางโรงเรียนทำหนังสือแจ้งผู้ปกครองซึ่งทำเอาเราหูตาเหลือก จึงโทรศัพท์ขอทราบเหตุผล สิงห์ตอบว่าได้แจ้งให้ครูทราบตั้งแต่แรกแล้ว โดยมีเหตุผลว่าสิงห์ไม่ได้นับถือคริสต์ จึงไม่อยากเล่นละครหลอกครูเพื่อคะแนน ยังไงๆ ก็ไม่ยอมทำเป็นอันขาด เรื่องนี้จะโทษใครได้เล่า เพราะเมื่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมพ่อก็เคยแสดงวีรกรรมไว้เหมือนกันลูกเอ๋ย
เรื่องที่สอง ทีนี้เป็นเรื่องทางพุทธ ตามปกติพ่อสนใจศาสนาพอๆ กับการเมือง จึงพาตัวไปเป็นศิษย์หลวงพ่อ หลวงปู่หลายรูป แน่ล่ะย่อมจะมีคนเมตตาให้พระเครื่องดังๆ มาหลายองค์ด้วย พ่อมีของรักก็อยากแบ่งให้ลูก จำได้ว่าวันหนึ่งที่สิงห์มีชื่อเสียงแล้ว พ่อก็เสนอสร้อยคอหลวงปู่ทวดให้ลูกห้อยคอไว้คุ้มภัยยามเดินทาง
ด้วยเหตุผลว่าพ่อก็รู้ว่าสิงห์นับถือพุทธนับถือพระแต่ขณะเดียวกันสิงห์ก็อยู่ในวงการบันเทิงซึ่งหลีกหนีการดื่มเบียร์ไม่พ้นถ้าสิงห์ห้อยพระสิงห์ก็ต้องยกแก้วเหล้าหรือแก้วเบียร์ขึ้นดื่มโดยข้ามเศียรพระที่ศรัทธาว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้งที่ดื่มสิงห์ทำไม่ได้เหตุนี้สิงห์จึงไม่ห้อยพระเครื่องตลอดมา
ในวันเกิดเหตุลูกทำลายชีวิตพ่อเชื่อเหลือเกินว่าถ้าลูกมีหลวงปู่ทวดซึ่งเป็นพระศักดิ์สิทธิ์เคารพศรัทธากันมาตั้งแต่โคตรเหง้าของเราจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
คราวนี้มาดูเรื่องที่สิงห์ต้องยอมดูบ้างเมื่อสร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนคนรู้จักบ้างแล้วสิงห์ก็อยากเป็นนักดนตรีร็อคที่มียันต์สักตามตัวกับเขาบ้างครั้นนำเรื่องมาเสนอแม่แม่ก็ปฏิเสธบอกไม่ค่อยรู้เรื่องเรื่องอย่างนี้ต้องปรึกษาพ่อ เพราะพ่อชอบพาสิงห์ไปหาพระ ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เนืองๆ คงจะพอมีความรู้บ้าง
ครั้นสิงห์มาปรึกษาพ่อ พ่อก็ปฏิเสธ บอกว่าไม่ดีหรอกลูก สักยันต์นั้นทำให้ผิวเราเสีย แล้วลบไม่ออกด้วย คนสักยันต์นั้นคนคุกเขานิยมกัน ไม่ขลังอะไรหรอก ยังจะน่าเกลียดด้วย สิงห์ยังไม่ยอมในทันที ยังดึงดันที่จะขอสัก พ่อปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยตัดบทว่า เรายังมีเวลาคุยกันอีกหลายๆ ครั้ง ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน
ครั้นต่อมาสิงห์ก็นำเรื่องเข้าระเบียบวาระอีก พ่อก็ยืนกรานไม่เห็นด้วยเช่นเดิม แต่ครั้นเห็นสิงห์ยังเพียรอยู่อีก พ่อก็เลยออกไม้ตายท่าสุดท้าย กะว่าถ้าไม้นี้เอาไม่อยู่ พ่อก็ยอมอนุญาตละวะ
พ่อบอกว่าสิงห์อยากสัก เพราะเห็นว่าดีหรือเห็นว่าโก้ หรือเห็นว่าขลัง หรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ พ่อก็ไม่ขัดข้อง แต่... แต่พ่อขอสักด้วย เอาให้ลายพร้อมเป็นพญาพาลีไปเลย สองคนพ่อลูก
สิงห์เบรกพ่อว่า ทำยังงั้นได้ยังไง พ่อเป็นนักการเมือง เป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย จะมาสักยันต์ได้ยังไง สิงห์อายคนแย่ พ่อยืนยันว่าถ้าสักได้ พ่อก็ควรสักได้ พ่อไม่อายใครด้วย ไหนๆ ก็ติดคุกมาหลายครั้งแล้ว และอาจติดได้อีก สักมันเสียเลย เป็นการเตรียมตัวไว้ให้พร้อม สิงห์ส่ายหน้าปฏิเสธยิ้มๆ แล้วบอกเลิกประชุม ตั้งแต่นั้นมา ไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นปรึกษาอีกเลย
ก็ลูกเป็นอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้พ่อรักหนูได้อย่างไร ลูกจากไปโดยไม่บอกลา พ่อไม่โกรธแล้ว น้อยใจนิดหน่อย แต่บัดนี้ พ่ออโหสิกรรมให้หมด รักลูกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เสร็จงานศพพ่อจะเข้ากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลให้ลูก จากนั้นพ่อจะชวนแม่ตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่ลูก ตั้งชื่อว่า มูลนิธิสิงห์ มุสิกพงศ์ เพื่อการดนตรีดีใจไหมลูก"
นอกจากข้อความจากในที่ทำให้คนอ่านซึ้งไปตามๆกัน ประโยคของคุณพ่อที่พูดว่า "ไม่สามารถเผาสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมาได้" ก็ทำให้เห็นความรักของครอบครัวได้เป็นอย่างดี
ที่มา : มติชน ออนไลน์