เปิดสาส์นรักคำมั่นสัญญาของคู่รักดาราที่ถึงทางตัน
คู่รักแต่ละคู่นั้นเรียกได้ว่ากว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคจนแต่งงานกันได้ ก็ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกัน การที่คนสองคนจะมาใช้ชีวิตร่วมกันนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก เพราะทั้งสองจะต้องมองเห็นทั้งข้อดี ข้อเสียต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ ซึ่งเมื่อทั้งคู่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันต่างก็มอบ "คำมั่นสัญญา" อันแสนหวานให้แก่กัน แต่การแต่งงานนั้นไม่ใช่จุดจบของชีวิตคู่ มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้กัน ซึ่งก็มีหลายรายที่ประคองความรักไปได้อย่างดี แต่กับบางรายชีวิตคู่พวกเขานั้นกลับไม่สวยงามอย่างที่คิด ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อถึงเวลาที่เข้ากันไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องจบลง แม้ว่าจะมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจก็ตาม ทำให้กลายเป็นอีกบทเรียนสำคัญที่พวกเขาคงจดจำกันไปอีกนาน
วันนี้ทาง daradaily จึงรวบรวมคำสัญญารักของคู่รักที่แต่งละเลิกกันไปแล้วมาให้ชมกัน
เริ่มต้นกับคู่รักที่เป็นกระแสมากที่สุดในขณะนี้อย่างคู่ของพระเอกปากกว้าง "ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล" กับภรรยาสาว “พลอย พลอยพรรณ" ที่ทั้งคู่กำลังมีข่าวรักสั่นคลอนกันอยู่ โดยคู่นี้ต่างเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ว่า
ปีเตอร์ "คือไม่มีอะไรที่เป็นสคริปมาคุยกัน อันนั้นพี่คิดว่าเป็นแค่ในพิธีของฝรั่ง แต่พลอยก็น่าจะรู้นะ คำสัญญาของพี่ไม่มีอะไรมาก พี่สัญญาว่าพี่จะรักพลอยตลอดไป รักพลอยคนเดียว อาจจะรักลูกบ้าง แล้วจะดูแลอย่างดี ทำทุกอย่างไม่ให้พลอยมีความทุกข์ ไม่ให้พลอยลำบาก และตอนเช้าพอพี่ไปทำงาน คอยปลุกพี่ด้วยนะ ไอเลิฟยู"
พลอย "คือคำสัญญา เราไม่รู้ว่ามันอยู่นานแค่ไหน แต่ว่าขอให้พี่เตอร์เป็นอย่างนี้ทุกวัน คือพี่เตอร์ตั้งแต่คบมาเนี่ย พี่เตอร์เป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายมาก แล้วก็รู้ว่าพี่เตอร์รักพลอยทุกวัน แล้วก็เหมือนยิ่งจะมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยนะคะ ส่วนพลอยก็ พลอยจะทำตัวเป็นภรรยาที่ดีที่สุด คือตอนนี้อาจจะเหมือนเพิ่งเข้าช่วงที่เริ่มมีครอบครัว อาจจะยังปรับตัวไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าจากชีวิตโสดเริ่มเข้าชีวิตครอบครัวดูแลลูกดูแลสามียังไงนะคะ ก็พลอยจะพยายามทำตัวเป็นภรรยาที่ดี ดูแลพี่เตอร์ ไม่เอาเรื่องเล็กมาคิดมาก พยายามหนักนิดเบาหน่อย เราก็จะช่วยกันแก้ปัญหา แล้วอยู่เคียงข้างพี่เตอร์ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ดีหรือร้ายตลอดไปค่ะ"
ถัดมากับคู่รักที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการบันเทิง ด้วยการเข้าพิธีหมั้นแบบสายฟ้าแลบอย่างนักแสดงสาว "แตงโม ภัทรธิดา" และนักร้องหนุ่ม "โตโน่ ภาคิน" โดยในงานหมั้นทั้งคู่ได้แลกคำสาบานที่จะรักกันชั่วชีวิตไว้ว่า
แตงโม: "หนูภูมิใจในตัวพี่ โมรักพี่ พี่มีค่ากับหนูมาก เราไม่ใช่คนรวยอย่างที่พ่อบอก แต่เราต่างมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี เราจะใช้ชีวิตด้วยกันเพื่อสร้างครอบครัวไปด้วยกันอย่างดีที่สุด และที่พี่บอกว่าถึงแม้เราจะมีเงินร้อยล้าน เราก็ซื้อความสุขแบบนี้ไม่ได้ แล้วที่เราสัญญากันไว้ว่าถ้าใครท้อ หรืออยากจะยอมแพ้ อีกฝ่ายจะต้องเตือนสติของอีกคนว่าเราท้อไม่ได้ และวิธีแก้ปัญหาก็ไม่ใช่การเลิกกัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดและทรมานมาก เราต้องห้ามท้อ ห้ามแพ้ หนูอยู่ไม่ได้อีกแล้วถ้าในชีวิตนี้หนูไม่มีพี่"
โตโน่: "เราพูดกันอยู่เสมอว่ารักที่สุด รักคนเดียว และก็รักตลอดไป ตายแทนกันได้ ประโยคเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดที่พูดให้แค่รู้สึกดี ไม่ได้พูดตามที่เขาพูดกัน ไม่ได้พูดเพื่อให้สบายใจไปวันๆ แต่มันเป็นคำมั่นสัญญาที่ชี้ให้เห็น และมันจะติดตัวพี่ไปจนวันตาย ภาคินจะรักภัทรธิดาที่สุดในชีวิต ภาคินจะรักภัทรธิดาคนเดียว ภาคินจะรักภัทรธิดาตลอดไป"
มาต่อกันที่อดีตคู่รักสุดแนวอย่าง "ไอด้า ไอรดา" และ "แอมมี่ ไชยอมร" ที่ทั้งคู่ถึงจะเลิกรากันไปแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังคงทำหน้าที่ พ่อและแม่ ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว ซึ่งคู่นี้ต่างก็เคยให้คำมั่นสัญญาในวันแต่งงานกันไว้ว่า
ไอด้า: "เราก็อยู่กันมาแบบว่าอย่างที่บอกเรียนรู้กันมาแล้วค่ะ มันก็เลยค่อนข้างจะไม่ยากแล้ว"
แอมมี่: "คือไม่มีใครกล้าพูดหรอกครับในชีวิตคู่ว่ามันจะร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่าหลังจากนี้นะครับ แต่ว่าเราก็ตั้งใจจะทำมันให้ดีที่สุดนะครับ ถ้าผมคิดนะถามว่าพร้อมไหม เราก็ยังยอมรับว่าเราก็ยังมีลูกง๊องแง๊ง มีอารมณ์เด็ก แต่ว่าก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดนะครับ"
เรียกได้ว่าเป็นอีกเรื่องราวที่เป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดในวงการบันเทิงปีนี้ก็ว่าได้ สำหรับความรักของนางเอกสาว "เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ์" และ "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์" ที่ทั้งคู่เคยจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แต่แล้วความรักทั้งคู่ก็จบลงอย่างรวดเร็วไม่ถึงปี ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เคยพูดถึงกันไว้ว่า
เจนี่: ความสัมพันธ์ของคนเรา พอถึงจุดๆ หนึ่งแล้วมันไม่ใช่แค่คำว่าแฟนหรือสามี-ภรรยา แต่มันต้องเป็นได้ทุกอย่าง คืออยู่ด้วยกันแค่มองตาก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร หรือว่าแค่เขามองตาเจนี่เขาก็รู้แล้วว่าเจนี่รู้สึกยังไง ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า พี่เอ๋เป็นคนที่ทำให้เจนี่มีความสุขได้ตลอดเวลาจริงๆ ถึงแม้ในวันที่เจนี่แถลงข่าวหรือวันที่เจนี่ทุกข์มาก ไม่มีกำลังใจเลย แต่บนความทุกข์ ความไม่มีกำลังใจเลยนั้น เขาคือคนที่ทำให้เจนี่รู้สึกว่าวันนั้นคือวันที่เจนี่มีความสุขมากที่สุดอย่างบอกไม่ถูก
เอ๋: ผมอยากบอกว่า ความรักน่ะ คนเราบางทีอยากรู้จักน่ะมันต้องใช้เวลาศึกษากันนาน แต่ถ้าอยากรู้จักแบบลึกๆ แล้วมันแป๊ปเดียว คือ ถ้าเปิดตัวตนของตัวเองออกมา ผมมีความรู้สึกว่า พอผมอยู่กับเจนี่ ช่วงเวลาที่เราคบกันจริงๆ ผมว่าผมก็เปิดทุกอย่างที่ผมมี เจนี่ก็เปิดืกอย่างที่เป็นตัวตนของเจนี่ ตรงนั้นเลยทำให้ผมรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ผมค้นหามาทั้งชีวิต ผมอยากอยู่กับผู้หญิงแบบนี้"
เรียกได้ว่าเป็นอดีตคู่รักที่ตกเป็นข่าวดังสำหรับนักแสดงสาวโอโม่ "แป้ง อรจิรา" ที่เลิกลากับสามี "ผู้กองต้อม ร.ต.อ.ทรงพันธ์" ด้วยเหตุความต่างทางความคิด เลยทำให้เกิดปัญหาขึ่น ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เคยให้สัญญากันไว้ว่า
แป้ง: ''ถามว่ามีคำสัญญาที่กันหรือเปล่า คือก่อนวันส่งตัวก็จะมีผู้ใหญ่ให้คำสอนมา 3 คำ ซื่อสัตย์ ให้เกียรติกันและกันและให้อภัย บางทีเขามีกวนโมโห แต่เขาเป็นคนดีเรารู้ว่าคนนี้พื้นฐานจิตใจไม่คิดร้ายอะไรและไม่ได้เป็นคนมีข้อเสียจนเรารับไม่ได้ อีกอย่างแป้งเคยเชื่อว่าคนเราถ้าจะเป็นคู่กันบุญหรือว่าอะไรต่างๆ ต้องเท่ากัน ซึ่งแป้งชอบเข้าวัด เขาก็เข้าวัด เลยรู้สึกว่าคนนี้ใช่แล้วมั้ง เวลาแป้งคบกับใครเรื่องทะเลาะเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าสำหรับคนอื่นคงรู้สึกว่ารับไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว วันนึ คงไปกันไม่รอด แต่สำหรับเขาต่อให้ทะเลาะกันแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดเราก็รักเขาและอยากมีเขาอยู่ในชีวิตไม่อยากให้เขาไปไหน''
ผู้กองต้อม: "ตัวเองผมเองรู้สึกต้องรับผิดชอบขึ้นเยอะเลยเดิมทีผมก็รับผิดชอบเขาเยอะเหมือนกันนะ ตอนนี้เป็นทางการแล้ว ก็มีหน้าที่เพิ่มขึ้นมากอันหนักหน่วง เอาไม่อยู่ หลีกเลี่ยงการปะทะ ดูแล ให้เกียรติกัน คือแป้งเขาจะเหวี่ยงวีนแค่ไหนบางครั้งเขาถึงแสดงออกมา แต่ยังไงเขาก็อยู่ตรงนี้มากกว่าและผมว่าแป้งเป็นคนธรรมชาติ ไม่เสแสร้งผมชอบแบบนี้''
ปิดท้ายที่ข่าวช็อควงการบันเทิงมากเมื่อ "อ่ำ อัมรินทร์" หย่า "จอย อัจฉริยา" หลังจากที่ทั้งคู่อยู่กินกันมานานถึง 12 ปี และได้มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน โดยที่เจ้าตัวเคยให้คำสัญญากับภรรยาไว้ว่า
อ่ำ "เคยเกเร ตั้งแต่ตอนแต่งงานผมก็ยังรู้สึกปรับตัวไม่ได้ จากที่เคยเป็นมาอย่างนั้น พอมีลูกแล้ว ระยะแรกๆ ลูก 6เดือนก็ยังรู้สึกปรับตัวไม่ได้ แต่มาปรับได้ก็ตอนประมาณลูกสามขวบ รู้สึกว่าของจริงอยู่ที่บ้าน เรารู้สึกบอกตัวเองได้ มันจะรู้สึกห่วง ของนอกบ้านเพื่อนก็ของจริงนะ แต่ว่าเรื่องครอบครัวต้องดูแลเรา เราต้องดูแลกันจนชั่วชีวิตอยู่แล้ เลยคิดว่านี่แหละของแท้"