แค่วันแรกทะลุ 50 ล้าน! “ทอฟฟี่” เล่าความยากกว่าจะฮากระจายใน “หลวงพี่แจ๊ส 4G”
เรียกว่าตอนนี้กระแสภาพยนตร์เรื่อง “หลวงพี่แจ๊ส 4G” นั้น ดังทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดกันเลยทีเดียว ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์สนุกสนาน มีมุกตลกเรียกเสียงฮาสนั่นโรง แฟนๆ ก็ให้การตอบรับที่ดีไปดูกันจนเต็มโรง งานนี้เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกับ “ทอฟฟี่ ศิวดล จันทนเสวี” หรือ “ทอฟฟี่ 3.50” หนึ่งในนักแสดงของเรื่อง เจ้าตัวก็ได้เล่าถึงฟีดแบ็คให้ฟังว่า
เท่าที่ทราบมาคือวันแรกก็ 50 ล้านแล้ว จริงๆ ตอนแรกตอนที่อยู่ในกองก็มีการคุยกันว่าคาดหวังกันให้ได้เข้าฉาย เพราะว่ากระแสภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องพระที่ผ่านๆ มา ส่วนใหญ่มักจะโดนตัดออก เซ็นเซอร์เยอะ หรือไม่ได้ฉาย ความคาดหวังในตอนแรกของพวกเราคือขอให้ทุกฉาก ทุกซีนที่ถ่ายมาได้ถูกถ่ายทอดออกไป เพราะว่าแต่ละฉากพี่พจน์จะค่อนข้างประณีตมาก ส่วนเรืองยอดก็แอบหวังกันลึกๆ เพราะว่าอย่าง “หอแต๋วแตก” ก็ได้ประมาณ 70 กว่าล้าน เขาก็หวังเอาไว้ว่าเรื่องนี้อยากจะให้ได้ออกมาในระดับเดียวกัน และถ้าจะไปได้สูงกว่าก็สูงไปเลย แต่พอมาทราบว่าแค่วันแรกก็ได้ 50 ล้านแล้ว ก็รู้สึกดีใจมาก ทำเสื้อฉลองร้อยล้านไว้รอแล้ว (หัวเราะ)
เรื่องความกดดันกระแสที่เอาเรื่องพระมาทำเป็นหนังตลก มีตัดอยู่หลายฉากเหมือนกันครับ เพราะหลังจากที่ได้ไปดูรอบสื่อมวลชน ก็ทราบมาว่าตัดออกไปบ้าง เป็นเพราะความยาวด้วย และก็อาจจะถ่ายเผื่อมาไว้เยอะด้วย ก็เลยอาจจะทำให้ตัดบางฉากที่สนุกๆ ออกไป แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าบางฉากมุกมันอาจจะแรงไปสำหรับบางคน จึงทำให้พี่พจน์ตัดสินใจที่ตัดออก แต่เราก็ไม่ได้ถามว่าตัดออกไปเพราะอะไร
ความยากของเรื่องนี้ก็ยากมากครับ ฉากนึงจะใช้เวลานานกว่าภาพยนตร์เรืองอื่นเป็นเท่าตัว เพราะว่าพี่พจน์เปลี่ยนบทตลอด ตัวอย่างเช่นในฉากฉากนึงมีตัวละคร 5 คน พี่พจน์จะต้องคอยบอกทีละคนว่าจะต้องพูดว่าอะไรบ้าง แล้วบางครั้งพี่พจน์เองก็จำไม่ได้ว่าตอนแรกพูดไปว่าอะไร ก็จะมีเปลี่ยนบ้าง แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็ตื่นเต้นดี
ส่วนเรื่องที่มีกระแสว่าภาพยนตร์เรื่องนี้กระแสที่แซง “ไอ ฟาย แต๊งกิ้ว เลิฟยู้” จริงๆ แล้วมันพูดยากนะครับ ผมก็ไม่อยากให้เอาไปเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ มันน่าจะเป็นช่วงที่ตอนนี้อาจจะไม่ค่อยมีภาพยนตร์แบบนี้ให้คนไทยได้ดูมากกว่า ตั้งแต่ GTH เขาหยุดไปแล้วผันตัวไปทำซีรีส์ ภาพยนตร์ประเภทนี้ก็ลดน้อยลง และผมก็เชื่อว่าคนไทยก็คงรอดูภาพยนตร์แบบนี้อยู่ และด้วยความที่มี “แจ๊ส” ด้วย ผมเชื่อว่าปีสองปีที่ผ่านมานี้ถือได้ว่าเป็นปีของเขาจริงๆ ก็น่าจะบวกกันทั้งหมด
ฝากถึงแฟนว่า ต้องบอกตรงๆ เราไม่รู้เลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไง และนักแสดงทุกคนก็ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการแสดงกันทั้งนั้น เพราะพี่พจน์เป็นผู้กำกับคนเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีบทอยู่ในมือ นักแสดงทุกคนที่รับมาเล่นก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเล่นเป็นอะไรหรือจะออกมาเป็นแบบไหน นอกจากว่าแต่งตัว แต่งหน้าเสร็จแล้ว พอเข้าฉากก็ค่อยพูดตามที่เขาบอก แล้วเราก็ไม่รู้ว่าที่เราพูดไปนั้นมีที่มาที่ไปเป็นยังไง เราลำดับความไม่ถูก เพราะเราไม่รู้โครงเรื่อง พอเรามาดูในรอบสื่อมวลชนเราถึงเพิ่งเข้าใจว่าแต่ละอย่างที่เขาให้เราทำนั้นมันเป็นเพราะอะไร ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ตลกแบบสอดแทรกธรรมมะ ตอนแรกเราคิดว่าจะเป็นภาพยนตร์ตลกอย่างเดียว แต่พอได้มาดูจริงๆ กลายเป็นว่าเป็นตลกแค่ 50% ส่วนอีก 50% นั้นจะเป็นเรื่องของธรรมมะ
