“เกรซ” เล่าหมดเปลือก 12 ปีในวงการ ยก “ลิขิตริษยา” เป็นงานมาสเตอร์พีซ #ลิขิตริษยา

“เกรซ” เล่าหมดเปลือก 12 ปีในวงการ ยก “ลิขิตริษยา” เป็นงานมาสเตอร์พีซ #ลิขิตริษยา

1

“เกรซ” เล่าหมดเปลือก 12 ปีในวงการ ยก “ลิขิตริษยา” เป็นงานมาสเตอร์พีซ 

    “เกรซ กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า” สุดภูมิใจเล่น “ลิขิตริษยา” พีคที่สุดในชีวิตการทำงานวงการบันเทิง 12 ปี ขอบคุณที่เห็นความสามารถและให้โอกาส แง้มสนใจทำงานเพลง ส่วนความรักกับไฮโซ “ขุนพล อิสสระ” แฮปปี้เป็นกำลังใจให้กันและทัศนคติตรงกัน

 

     เป็นละอีกหนึ่งเรื่องที่ได้กระแสตอบรับที่ดีมาก สำหรับเรื่อง “ลิขิตริษยา” ของผู้จัดฯ คนเก่ง “เอ ศุภชัย” ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้นักแสดงมากฝีมือมาเล่นหลายต่อหลายราย และอีกหนึ่งตัวละครที่มาเหนือความคาดหมายนั่นก็คือสาว “เกรซ กาญจน์เกล้า” เพราะเธอสามารถเล่นละครพีเรียดออกมาได้อย่างสวยงาม และค่อนข้างไกลตัวเธอ งานนี้เมื่อมีโอกาสได้เจอเธอ สาวเกรซก็ได้เล่าแบบหมดเปลือกถึงการเล่นละครเรื่องดังกล่าว พร้อมอัพเดทเรื่องหัวใจกับ “ไฮโซขุนพล” ให้ฟังว่า

     ฟีดแบ็คดีมาก เป็นอะไรที่แฮปปี้มาก ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่งของละคร ถือเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งของเราที่มาสเตอร์พีซเลยก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นเรื่องแรกที่เล่นพีเรียด ด้วยความที่เรารู้สึกว่าเราทำงานในวงการมา 12 ปี และมีโอกาสที่ได้เล่นงานที่มีโปรดักชั่นดีขนาดนี้ถือว่าน้อยมาก ก็ดีใจที่ช่องให้โอกาส พี่เอเห็นถึงความสามารถให้ได้มาร่วมงาน ผู้ใหญ่เห็นถึงความสามารถและมองข้ามภาพลักษณ์ของเราที่ ในเน็ตชอบคิดว่าเป็นอารมณ์เด็กเกาหลี แล้วพอได้มาเล่นบทนี้เลยทำให้ทุกคนเชื่อได้ว่าเป็นคุณโฉมฉายจริงๆ 

     ด้วยบทบาทถ้าเป็นตัวเกรซจริงๆ คือจะไม่ใช่เลย เล่นยาก และเป็นละครเรื่องที่ดราม่าที่สุดในชีวิต ร้องไห้เยอะสุดในชีวิต แล้วก็ตรงข้ามกับตัวเอง คาแรกเตอร์ก็เป็นผู้หญิงร้อยปีก่อน ในรัชสมัย ร.7 เป็นอะไรที่ไกลตัวเรามาก แล้วมันก็ไม่มี Reference ให้ดู แล้วก็ค้นหาในเน็ตก็ไม่ได้ด้วยว่าผู้หญิงแบบนี้ต้องทำอย่างไร เดิน ยืน นั่ง พูดอย่างไร เราต้องจิตนาการเอา จากสิ่งที่เราเคยสัมผัส เคยเห็นมาก่อน แล้วก็คิดดูว่ามันแบบไหน ทำการบ้านค่อนข้างเยอะ เพราะมันค่อยไกลตัว แล้วปกติแล้วเป็นคนคล่องแคล่ว พูดเร็ว ติดตลก แล้วพอมาเป็นโฉมฉายต้องนิ่ง เศร้า โฮตลอดเวลา

     เป็นการปลดล็อคในเรื่องการแสดง มันเป็นอะไรที่เราภูมิใจมากที่เราทำได้ ตอนแรกคนคงรู้สึกว่าไม่เชื่อว่าเราที่เด็กที่สุดจะเล่นเป็นพี่ใหญ่ที่สุดได้ คืออยู่ในกองจะเรียกทุกคนว่าพี่ แต่พอเข้าฉากอาจจะต้องมีบารมีที่สูงขึ้น ต้องเรียกทุกคนว่าน้อง ต้องท่องไว้ตลอด คิดไว้ตลอดว่าเราคือคุณหญิงโฉมฉายจริงๆ ผู้หญิงผู้สูงศักดิ์ แล้วเวลาไปไหนมาไหนอย่างนี้ คนก็จะเชียร์ลงไปตบสิ ตอนอ่านบทก็ถามพี่เอว่า พี่เอว่าคุณโฉมไม่คิดขึ้นมาทำอะไรบ้างเลยหรอ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นคนพาเข้ามาในบ้าน พี่เอก็บอกว่าตัวของโฉมฉายทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะด้วยตัวของคุณโฉมเป็นผู้หญิงผู้สูงศักดิ์ ความเป็นลูกเจ้าพระยามันค้ำคอ ลงไปตบซ่อนกลิ่นแบบที่คุณกรองแก้วทำนั้นไม่ได้ เพราะเค้าเป็นคนดี แล้วก็โดนปลูกฝังมาอย่างดี เราก็เลยเข้าใจแล้ว 

     ก็มีคนดูบอกว่าคุณโฉมไปบวชไหม มีแต่คนบอกว่าจะดีเกินไป จะบอกเลยถ้าเป็นเกรซไม่มีตั้งแต่กรองแก้วแล้วค่ะ ก็อย่างที่พูดอยู่ตลอดนะคะ ว่าละครมันก็คือละคร แล้วอันนี้มันก็เป็นละครพีเรียดด้วย 

     ซึ่งเราชอบ เพราะละครพีเรียดมันมีเสน่ห์ แล้วจะต้องตั้งใจมากขึ้นกว่าละครทั่วไป ถึงสองถึงสามเท่าเลยเมื่อเทียบกับละครในยุคปัจจุบัน เพราะว่าละครยุคปัจจุบันมันเป็นอะไรที่อยู่ใกล้ตัวแล้วก็ไม่ท้าทายเท่าละครพีเรียด  แล้วพอมาเป็นละครพีเรียดแล้วด้วยบทเป็นไกลตัวด้วย แล้วแก่เราก็ไม่เคยแก่ขนาดนั้น แบบว่าแต่งงาน เราเองก็ไม่เคยมีครอบครัว  อะไรหลายๆ อย่าง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ประเพณีไทยสอดแทรกอยู่ตลอด

     ส่วนเรื่องต่อไปเราต้องเดินหมากดีๆ มากแล้ว เพราะว่าหลังจากละครเรื่องนี้คนก็จะกดดันแล้ว ไปไหนมาไหนคนก็จะถามตลอดว่าเรื่องต่อไปคืออะไร เพราะว่าด้วยความที่ว่าเรื่องนี้ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้วสำหรับการก้าวผ่านอะไรที่เค้าจะคิดว่าเราจะทำไม่ได้ พอเราข้ามมาได้แล้วหมากตัวต่อไปที่เราจะเดินไป มันจะเป็นอย่างไร ก็คิดอยู่เหมือนกัน เพราะว่าใครอยากให้เล่นอะไรก็เล่นให้ได้หมด เพียงแต่ว่าเราก็อยากเลือกสิ่งที่คนดูอยากดู แล้วเราก็อยากทำให้ดีที่สุด แล้วเค้าก็จดจำเราได้ เพราะการเล่นละครเรื่องหนึ่งเราต้องอยู่กับละคร 10 เดือน 11 เดือน หรือว่าเป็นปี แล้วต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ไปเพื่อเป็นคาแรกเตอร์นั้นๆ  เพราะถ้าเราไม่รัก ไม่ชอบ เราก็จะทำออกมาไม่ได้เต็มที่ เราก็จะไม่สนุกกับงาน เพราะว่าเราต้องอยู่กับละครเรื่องนี้ไปเป็นปีเลย อย่างโฉมฉายต่อให้เหนื่อย เดินทางไปถ่ายที่ต่างจังหวัด อันนี้เกรซแฮปปี้มาก พอเรารู้ว่ากำลังท้าทายตัวเองอยู่ และในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตรงนั้น
เราเครียดขึ้น คิดเยอะขึ้นในการรับงาน เพราะอย่าง 12 ปีที่ผ่านมา อะไรก็ได้ใครอยากให้เกรซเล่นอะไรก็รับเล่นทุกบท สบายๆ พอมาถึงตรงนี้ก็ต้องมาเลือกที่จะเดินในทางที่ อยากที่จะทำงานที่ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ  บทที่ยังไม่เคยเล่นแล้วอยากเล่นจะบทที่เป็นฝาแฝด เพราะเป็นคนที่ถ้าดีก็ดีมากเลย  ถ้าร้ายก็ร้าย ร้ายมากเลย อย่าง “ธิดาซาตาน” ที่เคยเล่นร้ายเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน เหมือนที่เคยเล่นร้าย แล้วเล่นก็เป็นอะไรที่แตกต่าง ในเรื่องเดียวมันคงจะเป็นอะไรที่สนุกมาก ร่วมถึงที่อยากทำอีกอย่างหนึ่งคือละครเพลง เพราะช่องตอนนี้ก็ยังไม่มีการทำละครเพลง ที่เป็นละครเพลงเลยจริงๆ เพราะที่ผ่านมาก็จะเป็นปลอมตัวเป็นนักร้องก็ได้ร้องเพลงอยู่ แต่ไม่ได้เป็นการร้องโชว์ แบบจัดเต็มเต็มตัว เพราะเราเป็นคนที่เติบโตมากับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ถ้ามีละครเพลงก็จะดี เพราะเป็นสิ่งที่อย่างลองทำ เพราะบู๊ก็ทำมาหมดแล้ว 

     เวลาคิดในเรื่องบทมากๆ มันไม่เป็นการกดดันตัวเอง มันขึ้นอยู่กับระยะเวลา ความเหมาะสม ตอนนี้ก็อยากพักผ่อน เลือกในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเรา เพราะมันจะอยู่กับเราไปอีกนาน แต่ว่าก็จะแฮปปี้ขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าชีวิตในตอนนี้ก็จริงจังกับการทำงานมากขึ้นกว่าตอนที่เรียนไปทำงานไปมากขึ้นด้วย เพราะเราเหมือนเรามีโฟกัสไปกับเรื่องนี้เรื่องเดียว เพราะตอนนั้นเราเรียน มีเรื่องจะทำธุรกิจ เพื่อน ติดเพื่อนมันหลายอย่าง พอเราโตขึ้น  ชีวิตเรานิ่งแล้ว เราก็เลยเดินไปได้อย่างว่ารู้ว่าเราต้องการอะไร และด้วยเป้าหมายของเรามันชัดขึ้นแล้ว ชีวิตก็นิ่งแล้ว ไม่ต้องแบบขึ้นๆ ลง ๆ เหมือนเมี่อก่อนที่มีหลายเรี่องให้ต้องคิดแบบเมื่อก่อน ด้วยทุกอย่างลงตัวหมด

     ด้านการทำงานตอนนี้เริ่มมีงานในพิธีกร คอมเมนต์เตเตอร์เข้ามา พอเราโตขึ้น พอคนเริ่มเห็นว่าเราทำได้ ก็มีเริ่มเข้ามาก็จันทร์พันดาว ที่เป็นคอมเมนต์ทุกอาทิตย์ ต่อไปก็จะมีหมอชิตด้วยเดือนหน้า ก็ถือว่าเป็นอีกงานหนึ่งที่ให้ลองทำดู ก็เหมือนว่ามีอะไรหลายๆ อย่างให้เราลองทำใหม่ เรื่อยๆ 
ส่วนประเด็นที่เคยบอกว่าอยากขึ้นคอนเสิร์ตพี่ “เบิร์ด ธงไชย” พูดเล่นกัน เพราะว่าช่วงนี้ร้องเพลง นึกว่าเป็นนักร้องไปแล้ว พอคนเห็นว่าเราร้องเพลงได้ เล่นเปียโนได้ เต้นได้ ทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ก็ให้ไปเจ็ดสีบ่อยๆ ก็มีคนถามว่าจะเต้นไปถึงไหน เกรซก็บอกเล่นๆ ว่า จะเต้นไปจนกว่าได้ขึ้นคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด ตลกมาก ซึ่งมันก็เป็นการแซวกันขำๆ เท่านั้น แล้วตอนนี้น้องเราป่วยอยู่ เราก็ทำแทนเลยอย่างนี้ ก็สนุกแล้วเป็นอะไรที่อยู่กับมันมาตั้งแต่ 3 ขวบ เราก็โตมากับดนตรี การมาเล่นละครก็เป็นเพราะเวทีมิสทีน เลยมีโอกาสได้มาเล่นละคร เพราะตอนแรกเล่นละครก็ไม่ได้รัก แต่มารักก็ตอนที่เราได้มาลองโฟกัสกับมันสิ่งเดียว ก็ทุ่มเทกับมัน แล้วยิ่งมาเล่นละครเรื่องนี้ เราก็อยากจะเล่นให้มันดีกว่านี้ รักมัน เพราะชีวิตที่ผ่านมาตลอดก็คือ ดนตรี กีฬา แตถ้าได้มีโอกาสขึ้นคอนเสิร์ตทำไมจะไม่ขึ้น จะโรยตัวเล่นเปียโนลงมาเลย แล้วตีลังกาสิบรอบ เรื่องพี่เบิร์ดคนดูแลคิวเกรซก็แค่พูดแซวขำๆ เท่านั้นเอง แต่ขำจริงว่าจะเต้นเยอะไปไหน จะร้องเยอะไปไหน ถ้าดูใน IG เกรซจริงๆ จะเห็นว่ามีแต่งานร้องเพลง เล่นเปียโน อยู่ในห้องอัดตลอด คือเป็นงานที่กลืนกินเข้าไปแล้ว การที่ว่าเป็นดารา นักแสดง และการที่เรามีความสามารถในด้านนี้ มันก็ช่วยให้งานที่เราทำนั้นหลากหลายขึ้น

     จริงๆ อยากทำเพลง ก็ยังคิดอยู่ว่าจะแบบยังไง ตอนนั้นอยากอายุเยอะกว่านี้ แล้วทำไม่ได้แล้ว ตอนนี้ถ้ามีเวลาก็อยากทำ มีเพลงของตัวเองขำๆ ตอนนี้ก็มีเพลงเป็นของตัวเองแบบเสียงตัวเอง แต่ก็ร้องเพลงประกอบละคร ได้ร้องเพลงประกอบละครมากกว่าเล่นละครอีก ต้องบอกว่าก็อยากมีสักเพลงที่เราชอบ เป็นเพลงที่เป็นตัวเราเอง ทั้งเต้น ทั้งร้อง มีเล่นเปียโน วาไรตี้ ทำแบบสนุกที่เป็นตัวเรา แต่มันก็ต้องมีสปอนเซอร์พวกนี้เข้ามาด้วย

     ซึ่งในกรุ๊ปเพื่อนทุกคนก็จะเรียกว่า “อีดาวเด่น” เพราะว่าเวลาไปทำงานที่ไหนก็จะทำนู้นทำนี่ทำนั้นได้หมดเลย ก็มีระวังนะจะมีแต่คนเกลียด ก็ขำๆ แซวกันขำๆ ก็ทุกอย่างเราทำมาตั้งแต่เด็กเราก็ไม่ขัดขืนไม่เขินเราก็ทำมาอยู่แล้ว เราก็ทำของเราปกติ แล้วพอเห็นว่าเราทำได้ คนก็ชอบให้เราทำ พอตอนนี้ก็ให้ทำใหญ่เลย จนวันๆ กลับบ้านก็กลับไปแกะเพลง อยู่กับเปียโน แกะเนื้อร้อง ก็ตอนนี้ถ้าจบละครว่าจะทำช่องในยูทูปของตัวเอง ทำขำๆ ร้องเพลง เล่นเปียโน ร้อง cover กับเพื่อนๆ ก็ชอบเรียกว่าดาวเด่นมากกว่า แทนเรียกเกรซ ซึ่งเมื่อก่อนนี้คนมองว่าหยิ่งด้วยความที่หน้าเรา แล้วแต่คนมองเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร พอหลังๆ เราโตขึ้น ได้รู้จักคนมากขึ้น มีโอกาสได้พูดคุยกับคนมากขึ้น เริ่มเอานิสัยจริงออกมาใช้ในสังคมได้ เพราะตอนเด็ก ๆหนูก็ไม่กล้าจะแซวใครเข้าแรงๆ พอเราโตขึ้นเริ่มมีเพื่อน มีพวกพ้อง เจอกันครั้งสองครั้งสามครั้งเริ่มสนิท เราก็จะเล่นได้ประมาณนั้น แต่ก็ยังไม่กล้าเป็นตัวเองมากเท่าไร ก็เลยนิ่งไป พอโตขึ้นเริ่มเล่นได้ก็เล่นยับเลย ก็มีแต่เพื่อนแซวว่าระวังคนในช่องเกลียด เพราะว่าเราทำได้ทุกอย่าง แต่ก็เป็นการแซวขำๆ มากกว่า 

     สำหรับเรื่องความรักเรื่อยๆ สบายๆ เราเป็นกำลังใจให้กัน ด้วยการที่เราอายุเท่ากัน มีทัศนคติหลายๆ อย่างตรงกัน มีอะไรคล้ายๆ กันหลายอย่าง   ก็มีเวลาเจอกันก็อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ถ้าตัวเค้าไม่ได้ไปต่างจังหวัด ก็เวลาก็จะชนกันได้อาทิตย์ละสองครั้งโดยประมาณ เพราะว่าเค้าก็ทำงานก็ต่างจังหวัด  เราทำงานเยอะเขาก็มีเป็นห่วง ทำงานเหนื่อยๆ เค้าก็จะค่อยเป็นกำลังใจ เราก็จะแนวสายบ่นๆ ขอให้ได้บ่น คุยกันส่วนมากก็เรื่องงานเค้า เรื่องงานเรา เรื่องที่สบายๆ มากกว่าไม่เรื่องเครียด ก็จะไม่คุยเรื่องงานเพราะมันก็เครียดมากพอแล้ว เราก็จะไม่คุยเรื่องงานที่เครียดเลย มุมมุ้งมิ้งก็มี ดูหนัง แต่ว่าตั้งแต่คบกันมาก็ดูหนังแค่ 2 เรื่องเอง แต่ก็มีกินข้าวส่วนใหญ่ก็กินข้าวกับเค้ากับเพื่อน เพราะเราเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ก็เลยไปด้วยกันได้หมด ส่วนจะได้เที่ยวต่างหวัดไหมก็หาอยู่ว่าจะไปเที่ยวรีสอร์ทเค้า แต่ขอให้หมดงานประจำตรงนี้ก่อน เพราะก็อยากจะไป อากาศก็กำลังดี ฝนตก เขาก็ชวนไป แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ไปสักทีเลย มีโอกาสแค่ได้ไปตอนถ่ายละครเท่านั้นเอง ก็แวบไปแค่แป๊บเดียว ตอนนี้ก็ตั้งใจไปนะคะ จะไปแน่ ผ่อนคลายกับธรรมชาติบ้างค่ะ

 

เกรซ ไฮโซขุนพล บันเทิง ดารา นักแสดงสาว ละคร ฟีคแบคดี ละครดราม่า

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“พ่อปิ้ล นาคร” พาลูกชาย “ออก้า” เปิดประสบการณ์ใหม่ จนอยากเรียน

ขอแกะของขวัญหน่อยจ้า ! มิสแกรนด์สุรินทร์โชว์ลุคซานตี้ที่ถูกต้อง

ควีนออฟแดนซ์! 34 ปี “คริสติน่า” ในวงการบันเทิง ขอบคุณทุกความรักที่มอบให้

อบอุ่นสไตล์ครอบครัว “เวียร์” วันเกิด “วิกกี้” เป่าเค้กพร้อม “น้องวิริน”

สวยไม่แบ่งใคร! นางแบบดังอวดผิวเนียนสุดสวยหุ่นน่าฟัดร้อนแรง

เชฟตัวจิ๋ว! “น้องยูจิน” ขอ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ไปเรียนทำเค้ก หนูน้อยทำเองทุกขั้นตอน

“โบว์” เล่าโมเมนต์ “อาเล็ก” ร้องไห้งานแต่งพี่ชาย

Gallery ที่เกี่ยวข้อง

Comments