ล้วงลึกความสัมพันธ์ "อั๋น-จ๋า” ตั้งแต่เริ่มคบจนเตรียมแต่งต้นปีหน้า

ล้วงลึกความสัมพันธ์ "อั๋น-จ๋า” ตั้งแต่เริ่มคบจนเตรียมแต่งต้นปีหน้า

    เปิดใจความสัมพันธ์ "อั๋น ภูวนาท คุนผลิน" ควงว่าที่ภรรยา “จ๋า อลิสา พันธุศักดิ์” ตั้งแต่เริ่มคบจนปัจจุบันเตรียมเข้าพิธีวิวาห์ต้นปีหน้า

     อีกหนึ่งคู่รักที่หลายคนกำลังจับตามองอย่างมากในขณะนี้สำหรับดีเจคนเก่งอย่าง "อั๋น ภูวนาท” และ “จ๋า อลิสา” ที่ล่าสุดทั้งสองได้แถลงข่าวประกาศแต่งงาน และมีประเด็นว่าที่ทั้งสองแต่งงานด้วยกันนั้นเป็นเพราะธุรกิจ ซึ่งทาง “ดาราเดลี่” ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งสอง ทั้งคู่ก็ได้เผยถึงจุดเริ่มต้นของความรักในครั้งนี้ให้เราฟังว่า

     สำหรับเรื่องข่าวดีก็จริงๆ ไม่ได้รวดเร็วอะไรสำหรับเรื่องประกาศแต่งงาน จริงๆ เราก็ไม่ได้ประกาศคือเราก็งงอยู่ แต่ก็มีทยอยส่งการ์ดส่งกับมือคือยังไม่ได้เริ่มประกาศอย่างจริงจัง แต่เราก็ไม่ได้อะไรเพราะเราก็เริ่มแจกการ์ดไปบ้างแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นข่าวใหญ่พอสมควรเราเองก็ยังงงๆ อยู่ มีคนแชร์กันไปมีคนพูดถึง สำหรับเราหรือคนใกล้ตัว ครอบครัว ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านเราเองก็คิดว่ามันไม่ได้เซอร์ไพรส์ เพราะเราเองก็คุยกันมานานแล้ว 

     คนใกล้ตัวจะรู้นานแล้วว่าคบกัน แต่ว่าในช่วงปีที่ผ่านมาทางครอบครัวเราก็รับรู้ จริงๆ คุณพ่อเพิ่งเสียด้วย ก็เลยไม่ได้พูดเรื่องนี้กันมากแล้วเราก็เลื่อนมาเป็นปีหน้า แต่ถ้าพูดคือทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จริงๆ แพลนนี้มีมานานอยู่แล้ว ตั้งแต่ต้นปีแล้ว 

     ถ้าเอาจริงๆ แล้วเรามีแพลนจะแต่งตั้งแต่พฤศจิกายนแล้ว แต่พอดีมีเหตุคุณพ่อของคุณ “จ๋า” เสีย เราก็เลยคิดว่าเลื่อนข้ามปีไปเลยดีกว่า ก็เลยเลื่อนไปเป็นมกราคมแทน จริงๆ เราเองก็ไม่เคยประกาศว่าเป็นแฟน แต่ถ้าหากได้เข้าไปดูในไอจี เราเองก็มีลงรูปคู่ แต่คนอาจจะคิดว่าเป็นเพื่อนสาว ก็เลยไม่ได้คิดว่าเป็นแฟนเรา ทางเราก็ไม่ได้ปิด แต่ไม่ได้ถึงขั้นเขียนว่าคนนี้แฟน มาเที่ยวกับแฟนเราไม่ได้ใช้คำแบบนี้ ไปไหนเหมือนเป็นเพื่อนกันอะไรแบบนี้มากกว่า    

     ส่วนเรื่องเพื่อนสาวคือจะพูดอะไรก็เหมือนเป็นการแก้ตัว จริงๆ เราก็ไม่โกรธอะไร ถ้าเราโกรธก็คงจะมีเรื่องโกรธเยอะ แบบในยุคที่มันคอมเมนต์อยู่ที่ปลายนิ้วแล้วก็คนที่คอมเมนต์ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เรามองว่าทุกคนมีสิทธิมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ที่สุดมันก็กลับมาที่ตัวเราเอง เรารู้ว่าเราทำไปทำไม หรือเราทำไปเพราะ หรือเราตัดสินใจแต่งงานกัน ด้วยความรัก ด้วยเหตุผลอะไรมันเป็นเรื่องของเราสองคน กับสองครอบครัว ก็ว่ากันไป

     ฝ่ายหญิงสาว “จ๋า” เผยว่า ขนาดบางทีเราไปกินข้าวกันสองคนว่าคนไหนแฟนละ เราก็บอกคนนี้ไง เขาก็จะไม่เชื่อ คือมันเป็นความฝั่งใจไปแล้ว เหมือนสังคมมองว่าอะไรมันก็จะไม่เป็นความจริง ซึ่งการฝั่งใจแบบนี้ก็เคยมีผลกับเราแต่ไปๆ มาๆ เราก็รู้สึกว่าเขาเองโดยเยอะกว่าอีก แต่เขาก็ไม่โกรธไม่ถือ รับได้ และเวลาเขาพูดอะไร ว่าเป็นอยู่แล้ว เราก็ไม่รู้จะไปแก้ตัวยังไง ในที่สุดมันก็เหมือนว่าเราเอง ที่เราแคร์มาหลายปี เพราะความที่ว่าสังคมแคร์ หรือสิ่งที่ห่วงว่าพ่อแม่พี่น้องเราจะรู้สึกไปด้วยรึเปล่า แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย เขาก็ไม่รู้สึก แค่ครอบครัวไม่รู้สึกเราก็โอเคแล้ว อย่าง “อั๋น” เขาอยู่ในวงการนี้ ก็ต้องมีคนให้ความสนใจเยอะ 

      เราเองก็รู้สึกงงเหมือนกัน เพราะขึ้นเทรนทวิตเตอร์เป็นอันดับหนึ่งเลยด้วย อย่างวันนี้ก็ไม่คิดว่าจะมีกล้องเยอะขนาดนี้ เราเองก็เข้าใจได้ถ้าจะมีคนคิด มันก็มีคนที่โดนข่าวแบบนี้เยอะ เป็นเรื่องปกติเกือบทุกคน แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยบอกว่าไม่จริงไม่ใช่ เราไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไม คือเราก็เกิดมาด้วยรูปร่างหน้าตา น้ำเสียงที่เป็นแบบนี้ บางคนก็บอกหน้าหวาน เราก็ไม่รู้จะทำยังไงกับหน้า น้ำเสียงก็เป็นแบบนี้เอง บางคนก็บอกแต่งตัวสำอาง คือทุกอย่างถ้าพูดจะดูเป็นแก้ตัวไปหมดเลย แต่ถ้าคนรู้จักจริงๆ จะรู้ว่าเราเป็นคนง่ายๆ มาก แต่งหน้าทำผม คือนั่งเฉยๆ พอเสร็จก็เดินเข้าฉากเลย ไม่เคยเช็กอะไร แต่งตัวเสร็จได้ภายใน 3 นาที บางทีมีงานเช้า งานเย็น คนก็จะคิดว่าแต่งหน้าออกจากบ้าน คือมันมีงานทั้งวัน เราเองคิดว่าถ้าเขาสนุกกับการคอมเมนต์ ก็ปล่อยเขาสนุกต่อไป ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว เราพูดตรงๆ เลย ตั้งแต่วันที่ข่าวมันออกมา ที่มีการพูดถึงกันเยอะๆ เราไม่ได้อ่านเลยแม้แต่คอมเมนต์เดียว เพราะเราเดาได้ว่าจะเป็นประมาณไหน เราก็นึกในใจว่า “จ๋า” จะเป็นยังไง เพราะมันไปไกลกว่าที่เราคิด แต่สิ่งแรกที่เขาถาม “พี่โอเครึเปล่า” คือเขาก็เหมือนห่วงเรา เราก็ห่วงเขา แต่พอเขาถามเราด้วยประโยคนี้ เราก็ไม่ต้องถามเขากลับแล้ว แปลว่าเขาโอเคแล้ว เราเองก็ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้อะไรเลย ตอนนี้ยิ่งง่ายขึ้นเพราะเราไม่ต้องระวังอะไรเลย ในช่วงที่มีข่าวว่าเราไม่แมนก็มีคุยกันว่าต้องแก้ไขยังไง เราก็ถามกลับต้องทำยังไง เพราะทุกวันนี้มันเป็นธรรมชาติ เราทำงานจัดรายการเช้า ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน เพราะฉะนั้นจะให้เราเปลี่ยนอะไร คนจะพูดก็พูดไปเรื่อย ฉะนั้นเอาที่สบายใจดีกว่า 

     “จ๋า” เองเผยต่อว่า ไม่เคยแก้ตัวอะไรให้ฝ่ายชายเลย มันอยู่ที่ความรู้สึกเรา ไม่รู้จะไปแก้ตัว อธิบายให้เขาฟังยังไง ตอนที่เราคบเขาแรกๆ ก็คิดว่าเป็นเกย์นะ แต่บุคลิกเขาเป็นแบบนี้ ก็ค่อยๆ ดูกันไปเรียนรู้ว่าคนเราสิ่งแวดล้อม การทำงาน ทำให้หล่อหลอมให้เขาดูเป็น มันแล้วแต่ถ้าเราจะวิจารย์ในเรื่องของวิธีการ เราก็ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาเยอะแล้ว และไม่แคร์เลยกับเรื่องคอมเมนต์เพราะมีความรู้สึกว่าเขาก็คงเข้าใจผิด เราเองก็โกรธไม่ได้เพราะด้วยบุคลิกเราก็เป็นแบบนี้ เราเองรู้จักกันมานานมาก ไม่ใช่แค่วันสองวัน หรือปีสองปี เรารู้จักในพื้นฐานครอบครัวด้วย ในสายตาเราก็เขาเป็นคนเรียนหนังสือ เรารู้จักและเรามั่นใจ 

      เราว่าง่ายที่สุดของความสัมพันธ์ที่เราจะตัดสินคือใช้เวลากับคนนั้นให้นาน บางคนอยู่มาทั้งชีวิตเลย แต่อย่างเราก็เกือบสิบปีแล้ว คิดว่ามากพอ เรารู้ชีวิตของกันและกันหมด จะรู้หมด 

     ส่วนเรื่องธุรกิจไม่เกี่ยวเลย นึกไม่ออกเลย เพราะมีอาชีพของกันเองอยู่ แค่นี้ก็ยุ่งพอตัวแล้ว 

     ด้านเรื่องใครจีบใครก็รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนเตรียมเป็นเพื่อนของเพื่อน เราก็รู้จักและคบกันมานานแล้ว ถ้าไม่แต่งตอนนี้ก็ไม่ต้องแต่งแล้ว เราคิดว่าทั้งหมดที่จะแต่งงานเพราะเป็นการให้เกียรติครอบครัว อันนี้ก็เป็นการให้เกียรติครอบครัว เพื่อที่เราจะอยู่ด้วยกันอย่างให้เกียรติกับทั้งสองฝ่ายเข้านอกออกในได้อย่างสบายใจ เพื่อที่จะก้าวสู่ชีวิตขั้นอื่นๆ ร่วมกัน อย่างถูกต้องเพื่อที่จะไม่ให้ใครมาบอกได้ว่ามันยังไง อย่างถ้าจะมีน้องก็จะยิ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าตอนประกาศแต่งงานอีก ก็ต้องทำให้ถูกต้อง ซึ่งเราถือว่าตามธรรมเนียมประเทศไทยเป็นเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่ เซอร์ไพรส์ก็ไม่มีอะไรเลย เป็นโมเมนต์เลิกกันไม่ได้คุยกันนานกว่า 6 เดือน พอกลับมาอีกครั้งก็เราก็มีคุยกันว่าพร้อมสำหรับขั้นต่อไปไหม เราก็เห็นว่าแก่แล้ว ซึ่งเราเองถูก “จ๋า” ปฏิเสธมาโดยตลอด ฟังดูน่าสงสาร เขาพูดว่าไม่พร้อม ก็เลิกกัน และกลับมา คิดว่าถ้ากลับมาคิดว่ามีอะไรใหม่ ต่างได้ไปตัดสินใจมาแล้ว คือเขาขออีกปีมาตลอด คือเราถามเขาผ่านไลน์ถามว่า “ผมจะขอคุณเป็นภรรยา” เขาก็เซย์ ที่ขอนั้นคือปีที่แล้ว และสำหรับคนรอบข้างเราและคนใกล้ตัวก็ไม่มองว่าเป็นเรื่องใหม่ เราก็มีเขาอยู่คนเดียวไม่ได้ดูคนอื่นเลย ซึ่งไม่แปลกเพราะเราคบกันมาตลอด เรามองว่าเป็นความสบายใจทั้งสองฝ่าย ที่เราอยู่แล้วสบายใจ คืออย่าทำอะไรก็ทำ สบายจริงๆ ต่างคนต่างทำงาน มันเข้าใจกันไม่ต้องพูดเยอะ เราเดาทางได้หมด เหมือนเป็นเพื่อนกัน มีพื้นฐานจากเป็นเพื่อน เราไม่ลังเล ไม่รู้สึกว่าต้องปรับตัวอะไรเลย เรามองว่าเป็นคนโสดสองคนที่ดีมากๆ เรามั่นใจว่าอยู่ด้วยกันแล้วต้องสุขมากขึ้นกว่าเดิม เลยพร้อมที่จะสละโสด โดยวันที่ 14 มกราคม จะแต่งที่โบสถ์ วัฒนา 16 มกราคม ก็จะเป็นงานตอนเช้าและเป็นงานเลี้ยงช่วงเย็น ไม่ยิ่งใหญ่อะไร ตามสมควร  

     สำหรับแพลนทายาทก็หวังว่า คิดจะมีลูก จริงๆ อยากมีด้วยอายุด้วย คงต้องมีเลย เพราะด้วยอายุเราก็พร้อม เป็นตามธรรมชาติ