“อั๊ต” ลั่นเรื่องความรักขอเป็นเรื่องส่วนตัว เข้าใจ “มาช่า” หลังเจอดราม่าใน “The Face”
“อั๊ต อัษฎา พานิชกุล” ลุยงานเบื้องหลังเต็มตัว เข้าใจ “มาช่า วัฒนพานิช” ในรายการ “The Face 3” หลังเกิดประเด็นดราม่า
อีกหนึ่งพิธีกรมากความสามารถอย่าง “อั๊ต อัษฎาวุธ” ที่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะห่างหายหน้าจากหน้าจอไปสักพักและผันตัวไปทำงานเบื้องหลังแทนในตอนนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหนุ่ม “อั๊ต” จะคิดถึงงานในวงการและมีโอกาสจะกลับมาทำงานในวงการไหม ด้านรายการ “The Face 3” ที่ตอนนี้กำลังดราม่าในรายการหนัก เมื่อได้คุยกับหนุ่ม “อั๊ต” เขาก็เผยว่า
สำหรับจุดเริ่มต้นที่ตนมาทำอันนี้คือ จริงๆ ทางผู้ใหญ่ทาง “บริษัทเท็นเซ็นต์” เขาติดต่อมาเป็นบริษัทใหญ่จากเมืองจีนในเมืองไทยเขาเป็นเจ้าของ ของ “Sanook” แล้วก็ทาง “snook” ฟีเจอร์น้องใหม่ที่เป็นรายการคล้ายๆ MTV แชลแนววีในสมัยก่อน เพราะทุกวันนี้ฟังเพลงโหลดฟรี แต่ว่าเขามีเจตนาอยากขยายให้มันดูน่าสนใจขึ้น ก็คือแบบในยุคเหมือนช่องเพลงมันไม่ค่อยเข้าถึงง่ายเหมือนแต่ก่อน ทุกคนมันอยู่ใน app เขาก็หาคนที่แบบ มีประสบการณ์เพลง เข้าใจวงการเพลงที่เป็นมุมมองที่ไม่ได้อยู่ในเมืองไทยเคยอยู่เมืองนอกมา แล้วก็ทำรายการได้ด้วย ก็เหมือนกับจริงๆ แล้ว โจทย์คือมันก็ค่อนข้างชัดมาแล้ว ตามประสบการณ์ของพี่ แนะนำมาอีกทีนึงว่ามีทางนี้เขาติดต่อกำลังหาคนอยู่สนใจไหม แต่ก็พิจารณาหลายๆ งานอยู่ เพราะตอนนั้น ก็ดูงานอยู่เมืองนอกด้วย ก็พองานอันนี้เข้ามาก็เข้าไปสัมภาษณ์ไปคุยด้วยเบา แต่พอเจอเขาซัก 2-3 รอบก็ค่อนข้างที่จะถูกใจทางทีมบริหารเพราะว่ามันจะผสมทั้งคนไทยทั้งฝรั่ง เลยรู้สึกว่ามันคล้ายๆ กับที่ทำงานสิงค์โปรมันเป็นเหมือนประเทศที่จริงๆ แล้วมันจะรับเป็นตะวันตกพอสมควรเพราะมันจะมี มั้งฝรั่งทั้งเอเชีย แต่เมืองไทยเดี้ยวนี้ หลังจากที่หายไปนานมากก็กลับมา ก็ได้เห็นว่าเมืองไทยจริงๆ มันก็พัฒนาขึ้นเยอะเลยคือในทุกวงการ อย่างโฆษณาบ้านเรา หนังบ้านเรา แล้วก็ตอนนี้ก็มารวมถึงการที่มาอยู่ในที่ทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทุกอย่างมันเป็นแบบโซเชียลมีเดียในทีวี เป็นแอพพิเคชั่น รู้สึกว่ามันเหมือนแบบ เท่ากับพี่ไม่ต้องไปเล็งที่อื่นแล้วคือจริงๆ โอกาสมันมีอยู่ตรงนี้ เป็นอีก Part นึงที่ค่อนข้างมีความสุขคือเบื้องหลัง เข้าไปคุยก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่มั่นใจว่าสามารถที่จะเข้ามาให้เขาได้ ก็เป็นเหตุผลที่เข้ามา เข้ามาประมาณ 6 เดือน เตรียมงานประมาณ 3-4 เดือน แล้วร้อนไป 2 เดือน
สำหรับเรื่องหาทีมจริงๆ ทุกอย่างก็ยากอยู่ เพราะมันต้องสร้างทีม Producetion แล้วก็จริงๆ แล้วล็อตแรกน้องๆ ที่มาในวันนี้ มันเป็นออดิชั่นภายในเพราะว่าเนื่องจากมันต้องรีบทำขึ้นมา มันก็เลยไม่ใช่ออดิชั่นใหญ่จะมีโครงการในปีนี้ที่จะเป็นออดิชั่นเปิดกว้าง เพราะตนคงเพิ่มรายการ แล้วจะเพิ่มพิธีกรในช่อง app ด้วย แต่มี 2 คนที่จริงๆ แล้วรู้จักมาอยู่แล้ว อย่าง “จูเนียร์” กับ “นิช่า” รู้จักมาตั้งแต่อายุ 13 แล้ว “จูเนียร์” ก็คือรู้จักรุ่นน้องกับเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่มาเจอกันก็จะรู้จักกับ “จูเนียร์” มาพักใหญ่ แล้วมีน้อง “คาริสา” ที่เป็น “The Face” ซีซั่นเดียวกับที่ตนเป็นพิธีกร โดย “คาริสา” รู้จักมาออดิชั่นด้วย มี “เมี่ยง” หลายที่มาเจอในออดิชั่นครั้งนี้ เหมือนตอนที่มาออดิชั่นมีมาประมาณ 10 คน ตนพยายามมองภาพกว้าง คือจะมีความที่ต้องเอา 4 คนที่เหมือนกับความชัดเจนในตัวมารวมกันแล้วก็ลงตัว อยากให้ทีมงานออกความคิดเห็นด้วย ก็ไม่อยากเป็นคนกำหนดความตัดสินใจคนเดียวที่เดียวเพราะว่า ตนจะไม่ได้หลุดมุมมองในที่สุดมาตัดสินใจเป็น 4 คน
ด้านเรื่องคาดหวังมันก็ไม่ได้เป็นความคาดหวัง ความคาดหวังมันก็มีอยู่แล้วแหละเนื่องจากมันทำ ใน app และใน app มันค่อนข้างที่จะมีคนติดตามเยอะอยู่แล้ว เพราะว่า app เป็นอันดับ 1 ในเมืองไทยก็ค่อนข้างที่จะเหมือนมันปูมาให้พี่เรียบร้อยแล้ว ความกดดันมันน่าจะเป็นทางคุณภาพกับตัวเนื้องานที่จะเสนอใน app ซึ้งมันก็อาจจะลดมานิดนึงจากที่เคยเป็นพิธีกรใน MTV มาค่อนข้างที่จะรู้ฟิวของการทำรายการเพลง แต่จะปรับในยุคสมัยใหม่ที่ต้องทำอะไรทันใจ คือหมายความว่าคือเด็กสมัยนี้ เขาอยากได้อะไรทันใจเหมือนเขาสามารถที่จะสัมผัสได้ทันที พูดคุยได้ สัมผัสได้ อันนี้คือต้องมาทำรายการสด Live สด Live สตรีมที่พูดคุยในระหว่างที่ “ETC” กำลังซ้อมห้องอัดอยู่หรือว่า อย่างวง “mild” เข้ามาออกในรายการเขาสามารถมาพูดคุยในรายการ ใน app ในขณะที่มันเกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้แหละเป็นอะไรที่กลัว แต่ในเรื่องของบางอย่างมันมากับอยู่แล้วอย่างเช่นแบบ ยุคนี้มันไม่ค่อยรู้ว่า VJ คืออะไร อย่าง “VJ จ๋า” , “VJ วุ้นเส้น” มันเป็นอีกยุคนึงมันเป็นการแนะนำคล้ายๆ ภาพลักษณ์มาใหม่ แต่ตั้งชื่อใหม่เป็น “จ๋อก” เป็น “จ๋อกจูเนียร์” , “จ๋อกเมี่ยง” , “จ๋อกนิช่า” อะไรอย่างนี้ก็แบบมาแนะนำให้เห็นว่ากลิ่นไอสมัยยุคเหมือนกับว่าเป็นตัวแทนของคอมมิวนิตี้เพลง มาเป็นตัวแทนของรายงาน Top chart มีรายการสด ทุกอาทิตย์เพื่อที่จะเราจะได้ดึงเด็กในยุคนี้ อีกไม่นานก็จะมีออดิชั่นเพิ่มขึ้นมาด้วย แล้วก็อีก 1 อย่าง ที่รู้สึกท้าทายมันรู้สึกว่าเหมือนกับพอยุคนึงเหมือนเป็นช่องเพลง ช่องเพลงมันตายไปหมายความว่ามันก็ค่อยๆ หายไป แต่ละค่ายเขาก็เริ่มทำของตัวเอง มันก็ไม่ค่อยมีสื่อกลางที่มาสวนกับศิลปิน เป็นจังหวะของ app ที่สามารถเป็นส่วนนึงคือเป็นสตรีมฟรี แล้วมาทำ content เป็นศูนย์รวมของศิลปินที่มาร่วมแสดงด้วย ตนก็เป็นคนรักเพลงมาตั้งนานแล้วตั้งแต่สมัยเป็น VJ เรื่องของรักที่จะเสนอทั้งวงเล็กวงใหญ่อย่างแมสกับไม่แมส ตอนนี้ก็มีการเอาวงอินดี้มาออกรายการที่หลากหลายขึ้นผสมกับวงที่รู้จักอยู่แล้ว
ส่วนผลงานเบื้องหน้าคงมีให้เห็นบ้าง แต่ขอให้ตอนนี้ให้มันนิ่งก่อน เพราะจริงๆ แล้วอย่างที่บอกว่ามันเพิ่งเริ่มต้นไม่กี่เดือนเองไม่ถึงครึ่งปี แบบผ่านเวลาไปนิดนึงอยู่ในช่วงที่นิ่งพอที่จะรับงานมากขึ้น เพราะจริงๆ ไปคุยกับเขาคงจะไม่ได้ทิ้งงานเบื่องหน้า คือยังรับพิธีกรอยู่ ยังรับละครอยู่แต่ว่าอาจจะน้อยลงมางานนอกนิดนึงเพราะว่ารู้ว่าพี่ต้องรับผิดชอบเยอะ ต้องแบบทำรายการ ต้องบริหาร ต้องแบบช่องใน App มันอยู่ตัวก่อน
สำหรับความรักตอนนี้ก็โอเคอยู่ พอพูดถึงความรักก็ไม่ค่อยอยากพูดถึงความรักเยอะ เพราะว่าแต่เข้าวงการพี่จะแบบว่าจริงๆ ที่เป็นเซเลปอยู่วงการบางคน ก็พูดคุยสบายอย่างเรื่องความรัก แต่ตั้งแต่เข้าวงการเป็นแนวแบบไม่พูดคุยอะไรมาก เพราะรู้สึกว่ามันเป็นแบบว่า Part คนละส่วน ส่วนนี้เป็นแบบว่าเรารู้กลับบ้านอยู่กับครอบครัว เราอยู่กับแฟน ถ้าเรามีแฟนมันเป็น Part ต่างหากที่เราอยู่ในวงการบันเทิง ด้วยนิสัยด้วย เป็นนิสัยที่เป็นแบบอย่าง คือเหมือนพื้นหลักของเป็นโลกส่วนตัวสูง จริงๆ ไม่เคยคิดที่จะเข้ามาในวงการบันเทิง เป็นอะไรที่ต่างจากนิสัย เพราะมันรู้สึกว่า Part ที่เป็นส่วนตัวมันเป็น Part ที่ตัวเองยังเก็บไว้อยู่ได้คือเหมือนกับมันโอเคที่จะมีปัญหากับครอบครัว จะเลิกกับแฟนอยู่กับแฟน คือมันกลายเป็นว่า Part ตรงนี้มันไม่มีใครรู้ไงไม่มีใครรู้ก็เหมือนยังมี Part ที่เป็นของตัวเองที่ไม่ต้องมาแชร์ให้ทุกคน
ด้าน “The Face” คือเพิ่งจะมาดูบ้าง เหมือนเพื่อนเปิดใน youtube ซีซั่น 2 เหมือนจะไม่ได้ดู แต่ว่าซีซั่น 3 เหมือนดูบ้าง ที่ดูบ้างเพราะว่าพี่ “ช่า” เพราะปลื้มพี่ “ช่า” เป็นส่วนตัวอยู่แล้ว เห็นว่าปีนี้มันก็แรงขึ้นเหมือนกับว่า รู้สึกว่าหลากหลายมันดูแรงขึ้น โดยที่แบบความสนใจมันเริ่มน้อย จากที่ปีแล้วมันกล้ำๆ กลึ่งๆ ผู้แข่งขันกับเมนเทอร์ พอนับซีซี่นมันหนักทางเมนเทอร์มากขึ้น ความสนใจในตัวผู้แข่งขันมันก็น้อยลง
ที่หลายคนมองซีซั่น 1 ตอนนั้นมันยังมีความดิบอยู่มาก พอมาเป็นซีซั่น 2 ซีซั่น 3 มันมีถ่ายมาแล้ว พอมันเริ่มซีซั่น 2 เมนเทอร์เริ่มส่งเด็กๆ ที่เข้ามาประกวดแบบไปทำหน้า ดูแลตัวเองตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มถ่าย แต่ซีซั่นแรกมันเป็นครั้งแรกของทุกคนไงมันไม่ได้มีการเตรียมพร้อม ใครมายังไงมาอย่างนั้น แล้วก็พอแบบรายการมันออนแอร์ มันคือการพัฒนาเกิดจากธรรมชาติของมัน แต่พอมันเข้า 2-3 มันเหมือนกับทั้งคนดู ทั้งคนเล่น ทั้งเมนเทอร์ ทั้งเด็กเหมือนคนมันพอจะรู้แล้วอะว่าต้องเพิ่มดีกรีความดราม่าเข้าไป เข้าใจในฐานะเป็น production เหมือนต้องเพิ่มดีกรี แต่ก็แอบสงสารอย่างพี่ “ช่า” เองรู้สึกแบบว่าเข้าใจพี่ “ช่า” ทุก Gen มันจะไม่เหมือนกัน จาก Gen นั้นมันจะเป็น Gen นิ่งๆ ค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำ แต่ว่าอยู่ในยุคใหม่ค่อยๆ คิด ค่อยๆทำ มันไม่ทันไง คือเหมือนอยู่ในยุคที่ทุกคนแบบต้องแสดงออกรู้สึกว่ามันดี เพราะว่าจริงๆ แล้วมันต้องมีบุคลิคที่หลากหลายความสามารถ ตัวตนที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเอาแนวเดียวกันมันก็ไม่สนุก สำหรับตัวเราอาจจะคิดถึงในการแบบเหมือนกัน จริงๆ แล้วทำซีซั่นแรกมันจะมีส่วนที่เราไม่ได้เห็นในรายการ คือก็จะมีความดูแลน้องๆ อยู่แล้ว อย่างมาอยู่ที่ Joox ก็ดูแล 4 คนก็เหมือนกับเมนเทอร์เขา ตอนทำบริษัทตัวเองก็เหมือนกับดูแลศิลปิน ความคิดถึงก็เหมือนว่าแบบน้องๆ ที่เพิางมาใหม่เขาอาจจะไม่เข้าใจมันเกิดไรขึ้นคือมันเหมือนแบบในฐานะพิธีกร เป็นรุ่นพี่ด้วยเหมือนมีเวลาจะปลอบใจเขาหรืออะไรแบบนี้เหมือนจะคิดในส่วนตรงนั้นมากกว่า