“พรีน” ปัดเป็นเจ้าแม่เพลงประกอบละคร ปลื้มงานแสดงเรื่องแรกกระแสปังเกินคาด

“พรีน” ปัดเป็นเจ้าแม่เพลงประกอบละคร ปลื้มงานแสดงเรื่องแรกกระแสปังเกินคาด

0

พรีนปัดเป็นเจ้าแม่เพลงประกอบละคร ปลื้มงานแสดงเรื่องแรกกระแสปังเกินคาด

 

          “พรีน รวิสรารัตน์ พิบูลภานุวัธนหรือพรีน เดอะสตาร์ขอบคุณผู้ใหญ่และแฟนคลับที่ให้โอกาสมีผลงานต่อเนื่อง ปัดเป็นเจ้าแม่เพลงประกอบละคร

พรีน slamdance ทุ่มฝันสนั่นฟลอร์ กระแสดีเกินคาด

          อีกหนึ่งนักร้องสาวเสียงคุณภาพพรีน รวิสรารัตน์หรือพรีน เดอะสตาร์ที่ตอนนี้กำลังมีผลงานซีรีส์สุดฮอตอย่าง “Slam Dance ทุ่มฝันสนั่นฟลอร์เมื่อได้เจอกับเธอ เจ้าตัวก็เผยให้ฟัง พร้อมทั้งยังแจงหลังได้ร้องเพลงเสน่หา Diary ตอน กับดักเสน่หาจนหลายคนมองว่าเธอเป็นเจ้าแม่ร้องเพลงประกอบละครไปแล้ว เมื่อเจอกับสาวพรีนเธอก็เผยว่า

          "สำหรับผลงานตอนนี้มีโปรเจ็คท์ 'covercity Season 2' ที่ต่อเนื่องมาจากซีซั่นที่แล้ว ที่เปิดโอกาสให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ที่ชอบร้องเพลง cover มาเพื่อแสดงฝีมือและร่วมทำงานซิง เกิ้ลกับทีมงานที่ทำเพลงจริงๆ

 

          ส่วนตัวของพรีนในซีซั่นนี้ก็ได้ร้องเพลง 'เธอทำให้ได้รู้' ของ โปเตโต้ เพื่อมาเป็นแรงบันดาลใจ และเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมสนุกกับเรา นอกจากนี้ก็ยังมีเพลงประกอบซีรีส์ 'เสน่หาไดอารี่ ตอน กับดักเสน่หา' ด้วย ชื่อเพลง 'เสน่หา' ซึ่งเป็นเพลงคลาสสิคของคนไทยที่ถูกนำมาตีความใหม่ แทนที่จะเล่าเรื่องความรักในแง่ของความบริสุทธิ์ แต่เรานำมาทำใหม่ ซึ่งจะใส่ความเป็นคาแรคเตอร์ของตัวละครที่ชื่อ 'มายด์' เข้าไปด้วย ทำให้การตีความมีความหลอนในอีกแบบนึง เพราะจะเป็นมุมมองความรักในความเสน่หา และถ่ายทอดเรื่องราวของซีรีส์นี้ ถือว่าท้าทายมาก เพราะเราได้ถอดตัวเองออกไปจากเพลงนี้ และที่ท้าทายยิ่งกว่านั้น คือ เพลงนี้เป็นเพลงที่ผูกพันของใครหลายคนอยู่แล้ว ก็ถือเป็นโอกาสและดีใจมากที่ได้ร้องเพลงนี้ พูดจริงๆ เพลงนี้ถือได้ว่าเป็นเพลงที่ภูมิใจมากที่สุดเพลงนึงตั้งแต่ที่เคยทำมา มันเป็นเพลงที่สวยงามมาก อีกงานนึงที่กำลังรับอยู่ตอนนี้ คือ ซีรีส์ 'Slam Dance ทุ่มฝันสนั่นฟลอร์' รับบทเป็น 'น้ำฝน'

          เรื่องความกดดัน จริงๆ ตอนแรกกดดันมาก อย่างที่บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ทุกคนผูกพันและรัก พอเราเข้าไปร้องก็คือเหมือนการที่เราเข้าไปแตะความผูกพันที่มีต่อเพลงที่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าทุกเวอร์ชั่นที่เคยถูกร้องมาก็ทำออกมาได้ดีมาก เราก็มีความกังวลว่าเราจะทำมันออกมาได้ดีมั้ย และก็กดดันว่าพอเอาออกมาเล่าในอีกรูปแบบนึงคนจะเข้าใจมั้ย กลัวจะทำให้คนผิดหวัง แต่พอตอนจบสรุปว่าเราต้องถ่ายทอดความรู้สึกของ 'มายด์' เพลงมันก็ต้องทำหน้าที่ในการถ่ายทอดอารมณ์นั้น ความจริงแล้วเพลงไม่ว่าจะเป็นเพลงใดๆ ก็ตามจุดประสงค์ของมัน ก็คือการเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง เราเล่าในฐานะนักร้อง เรามีหน้าที่เล่าให้ทุกคนฟัง ให้เข้าใจความรู้สึก ความคิด ความเสน่หาที่มายด์มีในเรื่องให้ได้ และพอออกมาเห็นฟีดแบ็คก็เรียกได้ว่าดีเกิดคาด หลายคนบอกว่าไม่คิดว่าเพลงนี้จะถูกตีความออกมาได้แบบนี้ หรือบางคนก็บอกว่าไม่คิดว่าพรีนจะร้องได้ดีขนาดนี้ นอกจากนี้ยังมีคนพูดอีกว่า พอฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงหน้ามายด์เลย เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในการเล่าเรื่องแล้ว พอเห็นฟีดแบ็คแล้วรู้สึกหายเหนื่อย ชื่นใจ

 

          เรื่องที่จะกลายเป็นเจ้าแม่เพลงประกบละครไหม น่าจะไม่ขนาดนั้น เพียงแต่ว่าเราแค่โชคดี เราโชคดีมากกว่าที่ตั้งแต่ที่เราออกจากบ้านเมื่อปีที่แล้ว เราก็ได้ร้องเพลงประกอบละครเรื่อง 'พิษสวาท' เลย และตามมาด้วยการร้องเพลงกับพี่ 'แก้ม The Stars' มันเป็นเรื่องของความเหมาะสมของช่วงเวลามากกว่า เราไม่ใช่เจ้าแม่ที่จะมาครองตำแหน่งนี้ ตัวเพลงมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำ และก็ต้องดูตามความเหมาะสมของคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่เหล่านั้น ถือว่าโชคดีด้วยที่ผู้ใหญ่ในช่องอย่าง 'คุณบอย' ก็ให้โอกาส และเล็งเห็นในความสามารถของเรา ทุกครั้งที่เราทำ เราก็ได้เติบโตมากขึ้น และทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใหญ่เล็งเห็นถึงความเหมาะสมของงานมากแค่ไหนมากกว่า

          ด้านเพลงของตัวเองด้วยความที่การตลาดของวงการเพลงตอนนี้เปลี่ยนไป ทำให้การทำเพลงของตัวเองออกมายากมากขึ้น และเราเองก็เข้าใจในความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็เลยทำให้เรามีเป้าหมายใหม่ในการทำงาน เพราะถ้าหากการทำซิงเกิ้ลเป็นเรื่องยาก เราก็จะทำงานด้วยตัวเองตั้งแต่ขั้นตอนแรก แต่ด้วยความที่เราไม่เคยเป็นศิลปินมาก่อน จึงทำให้เราเคยผ่านมาแต่การร้องเพลงที่มีคนเขียนเนื้อให้ โดยไม่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง ก็ต้องทำการบ้านหนักพอสมควร ถ้าถามว่าจะมีซิงเกิ้ลมั้ย ก็บอกได้เลยว่ามีแน่นอน แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น ตอนนี้ต้องขอไปเตรียมงานก่อน เพราะเราเองก็ยังไม่ได้เก่งมาก ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ และตอนนี้ก็ขอโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้และปรับเส้นทางในชีวิตก่อน ถือได้ว่าเป็นความท้าทายใหม่ในชีวิต จากที่ตอนแรกเป็นแค่ผู้เข้าประกวดเดอะสตาร์ ตอนนี้เราก็ตั้งใจที่จะมีอัลบั้มเป็นของตัวเองให้ได้ ถือได้ว่าเป็นเป้าหมายใหม่ที่ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจและคอยติดตามกันด้วย

 

          ส่วนเรื่องรวมตัวคอนเสิร์ต 'The Stars' ต้องเท้าความก่อนว่ามันเริ่มต้นในช่วงวันที่ 25-26 มีนาคม ซึ่งตอนนั้นเป็นวันที่ประกาศรายชื่อคนเข้ารอบ 8 คนของ The Stars 12 พอดี และพรีนคิดว่าเราควรที่จะกลับมาทำคอนเสิร์ตครบรอบ 1 ปี มันเริ่นต้นมาจากตรงนั้น และต่อมาด้วยการเดินหา sponsor และคิดโชว์เอง งานนี้เรียกได้ว่าตัดต่อเพลงเอง เรียงเพลงเอง ติดต่อนักดนตรี ติดต่อสถานที่ ตัด VTR ไปจนถึงขายบัตรเอง เราเคาะไฟ รันคิว และหาเสื้อผ้ากันเองด้วย ถึงจุดที่ทำเองทุกอย่าง ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน เราโชคดีที่ได้ทั้งทีมงานที่ดี และเราทั้ง 8 คนเองก็ช่วยงานกันด้วยใจมาก เพราะเราทำกันเองจริงๆ เราทำเพื่อความสุขและเพื่อคนอื่นด้วย เพราะรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายที่ได้จากคอนเสิร์ตนี้จะนำไปช่วยมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก และยอดที่ได้มาล่าสุดก็เกือบ 8 หมื่นบาท เป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก concept ของเรา คือ นำเอาสิ่งที่เราเคยทำร่วมกันในบ้านมาทำเวที เรียกได้ว่าครบทุกรส เพราะว่า 1 ปีที่ผ่านมา พวกเราทุกคนผ่านอะไรกันมาเยอะมาก และพอมารวมตัวกันอีกที เราก็พร้อมที่จะทุ่มเททุกอย่างให้กับมัน และพอแฟนคลับได้มาดูเราก็รู้สึกว่าหายเหนื่อยมาก และทำให้เราทั้ง 8 คนรักกันมากขึ้นอีกด้วย ทุกวันนี้พวกเราทุกคนก็ยังคิดถึง 2 ชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมาด้วยกันอยู่ คิดถึงความเหนื่อยเหล่านั้น

 

          พรีนรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ยังขอบคุณแฟนคลับอยู่ทุกวัน เราไม่ใช่คนที่ตามสูตร เราไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้ขายรูปร่าง ภาพลักษณ์ เราขายแค่ความสามารถเท่าที่เรามี สิ่งที่เราทำได้ และเสียงของเรา บางทีเราก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนเห็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเรา และอยากสนับสนุนมันไปเรื่อยๆ จนสุดทาง ยิ่งผ่านไปเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งอยากจะสนับสนุนเรา สำหรับเรารู้สึกว่ามีค่ามาก รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากจนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย เพราะมันไม่จำเป็นต้องเป็นเราก็ได้ แต่มันก็ยังเป็นเรา เราไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่เหมือนเขาเองก็ยังเป็นกำลังใจให้กับเราในตอนนี้ เราจะพูดกับแฟนคลับตลอดว่า วันนึงเราอาจจะห่างกันก็ได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันไม่มีอเะไรในโลกนี้ที่จะคงอยู่ตลอดไป งานเลี้ยงยังไงก็ต้องมีวันเลิกรา เราเลยตั้งใจที่จะทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะทุกวันนี้จะเป็นความทรงจำดีๆ ที่จะทำให้เรานึกถึงกันเสมอในวันที่เราไม่ได้เจอกัน ขอขอบคุณแฟนคลับทุกคนอีกครั้งที่ยังติดตามกันอยู่ และหวังว่าผลงานทุกๆ ชิ้นที่จะทำต่อจากนี้จะเป็นผลงานที่ทำให้แฟนคลับมีความสุขมากขึ้นไปเรื่อยๆ

          สำหรับผลงานซีรีส์ถือได้ว่าเกินคาดมาก เพราะเป็นงานแสดงครั้งแรกในชีวิต ที่ไม่เคยทำมาก่อน ในบทนี้ทั้งความคิดและความอ่านของตัวละครจะต่างจากเรามาก เพราะว่า 'น้ำฝน' เขาจะชัดเจน จะกล้า จะบู๊ เราทำการบ้านหนักมาก เรากล้วด้วยว่าจะทำทีมงานช้า เพราะทีมงานนี้เป็นทีมงานพี่มะเดี่ยว มีความ professional มาก ส่วนผู้กำกับฯ ได้พี่บอย แล้ววันแรกที่เปิดกล้องมาก็ต้องตบตีกับใบเฟิร์นและจูเนียร์ เราก็งงไปหมด เรียกได้ว่าเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกวันที่เล่น และคอยเก็บเทคนิคและความตั้งใจของการทำงานนักแสดงท่านอื่นๆ ด้วย แม้แต่คนที่เป็น professional แล้วอย่างใบเฟิร์นก็ตั้งใจมาก และช่วยเหลือเราเยอะมากเวลาอยู่หน้ากล้อง เมื่อซีรีส์ออกอากาศไปแล้ว แฟนคลับก็แคปกันเก่งมาก แคปกันมาแต่ละหน้าไม่ได้ช่วยเราเลย (หัวเราะ) แต่หลายๆ อย่างที่เราทำก็อยู่บนบรรทัดฐานที่เราอยากจะเป็น 'น้ำฝน' บางครั้งเราก็ไม่ได้ตั้งใจว่ามันจะออกมาเป็นอย่างนั้น และพอเวลาที่แฟนคลับเกลียด 'น้ำฝน' เราก็จะรู้สึกดีใจที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นได้ เกลียด 'น้ำฝน' ได้ แต่อย่าเกลียดพรีนนะ (หัวเราะ) ดีใจมากที่หลายๆ คนชอบ และมองว่ามันเป็นสีสัน ดูแล้วมีความสุข เท่านี้เราก็ดีใจแล้ว

          ซึ่งก็โชคดีมากที่หลังจากออกจากบ้าน ผู้ใหญ่ก็ส่งให้ไปเรียน acting กับหม่อมน้อย ซึ่งถือว่าถ้าไม่ได้หม่อมน้อยก็คงไม่มีทางเล่นได้แน่ๆ เพราะหม่อมสอนทั้งทัศนคติและการเป็นนักแสดงที่ดีให้กับลูกศิษย์ทุกคน และเราหยิบจับสิ่งที่หม่อมสอนมาใช้ในการเป็นนักแสดงเยอะมาก การเป็นนักแสดงไม่ใช่การเป็นตัวของตัวเอง แต่คือการเป็นคนอื่นยังไงให้สมบูรณ์ มันค่อนข้างท้าทายและยาก และถ้าไม่ได้สิ่งที่ครูทุกๆ ท่านสอนก็คงทำไม่ได้ ถือว่าเราโชคดีมาก นอกจาก workshop ในเรื่องของการแสดงแล้ว ก็ยังมี workshop เรื่องของการเต้นด้วย เพราะในเรื่องต้องมีเต้นลีลาศ เราก็ได้ซ้อมเต้นกับนักแสดงคนอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้วก็อยากให้ติดตามกันต่อว่าในเรื่องนี้ 'น้ำฝน' จะได้เต้นลีลาศบ้างมั้ย เพราะที่ผ่านมาเต้นแต่ลูกทุ่ง สามช่า โดยใช้สกิลสายย่อที่มีอยู่ (หัวเราะ) แต่สนุกมาก แล้วรับรองว่าจะแซ่บมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรื่องอยากเล่นซีรีส์กับเพื่อนๆ The Star ไหมนั้น อยาก แต่อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของโอกาส ก็หวังว่าผู้ใหญ่จะมองเห็นว่าศักยภาพของเราจะสามารถนำไปใช้ได้ แต่ของหลายๆ อย่างมันก็ขึ้นอยู่กับโอกาส หวังว่าจะมีให้ติดตามกัน (หัวเราะ)

 

          ผลงานอื่นๆ ความตั้งใจของเราคือถ้ามีโอกาสเราก็จะเปิดโอกาสให้กับตัวเอง 'Slam Dance ทุ่มฝันสนั่นฟลอร์' ถือเป็นโอกาสแรกที่ทำให้เรารู้ว่าเราแสดงได้ แต่เรารู้ว่าเรายังไม่ใช่นักแสดง เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะเรียกตัวเองว่านักแสดงได้ เราหวังว่าจะมีโอกาสอื่นๆ ในอนาคตที่ทำให้เราได้พัฒนาตัวเองต่อไป ถ้ามีอีกเราก็ยินดีที่จะลอง จะสู้ เพราะเราสนุกกับมันมาก และได้มีโอกาสดูแลครอบครัวจากการทำสิ่งที่เราชอบ เราไม่ได้อยากที่จะเป็นนักแสดงหรือนักร้องที่เก่งที่สุด แต่เราอยากเป็นคนที่อยู่ได้นานๆ เพราะเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า

          สำหรับเรื่องที่ยังมีแฟนคลับเยอะ พูดได้คำเดียวว่ารู้สึกว่าตัวเองโชคดี สงสัยต้องรีบไปทำบุญแล้ว (หัวเราะ) เหมือนว่าโอกาสจะเข้ามาในช่วงเวลาที่เราค่อยๆ โตขึ้นพอดี และมีผู้ใหญ่ที่คอยสนับสนุน งานทุกอย่างมันจะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไม่มีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน เราไม่มีทางเดินต่อไปได้ และถ้าแฟนคลับไม่เห็นถึงคุณค่าในสิ่งที่เราทำ เรารู้สึกดีใจมากที่ทุกคนเห็นถึงคุณค่าในสิ่งที่เราทำ แต่เราเองก็ต้องบาลานซ์ด้วยว่า ทุกวันนี้สิ่งที่เราประสบความสำเร็จนั้นเรียกได้ว่าเกินคาด แต่ก็ต้องคิดเสมอว่าสิ่งที่เราได้มานั้นมันจะไม่อยู่กับเราตลอดไป เราต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่หยุดที่จะเดินต่อ วันนี้เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ เราอาจจะประสบความสำเร็จและมีความสุขกับสิ่งที่เราทำวันนี้ แต่อาจจะล้มเหลวในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีสติและก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ วันนี้ถือว่าโชคดี ถือเป็นชีวิตที่โชคดีและกำไรมาก แต่ก็หวังว่าในอนาคตข้างหน้าถ้าเจออะไรที่ยากกว่านี้เราก็จะยังมีสติและก้าวเดินต่อไปได้เรื่อยๆ"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Gallery ที่เกี่ยวข้อง

Comments