หมดสิทธิ์ลุ้นให้ฟินต่อ “บอย” บอกลาบทเกย์
“บอย พิษณุ นิ่มสกุล” ท้าทายตัวเองรับบทเกย์ใน “Club Friday 9 ตอน รักต้องแลก” ลั่นไม่ขอรับบทเกย์แล้ว แจงสิ่งที่จะได้หลังคนดูติดตาม
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถอย่าง “บอย พิษณุ” ที่ล่าสุดโดดรับบทบาทสุดท้าทาย เป็นเกย์ในเรื่อง “Club Friday 9 ตอน รักต้องแลก” ซึ่งหลังจากซีรีส์เรื่องนี้ออนแอร์ไปได้เพียง 2 ตอนก็เป็นกระแสร้อนแรงในโลกโซเชียลอย่างมาก ทั้งความแรงของบทในละคร งานนี้เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับหนุ่ม “บอย” เขาก็เล่าถึงความรู้สึกที่ได้ร่วมแสดงซีรีส์เรื่องนี้ พร้อมทั้งยังเผยบทบาทที่อยากลองเล่นในละครเรื่องต่อๆ ไปให้ได้ฟัง โดยเขาเผยว่า
"สำหรับ 'Club Friday 9 ตอน รักต้องแลก' รับบทเป็น 'พี่ปาล์ม' เป็นคนที่มีครอบครัว มีภรรยา มีลูก 2 คน เป็นเกย์ในเรื่อง ตัวละครตัวนี้เขาแต่งงานแล้ว รู้ตัวมานานแล้ว แต่อยู่ในครอบครัวคนจีน เป็นลูกชายคนเดียวด้วย อยากทำให้พ่อแม่มีความสุข ก็เลยแต่งงานกับลูกเพื่อนพ่อ ก็มีความสุขดี แล้วพอพ่อแม่ตายไปก็รู้สึกว่าชีวิตนึงต้องทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง เพราะทำเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว บวกกับเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำเกือบตาย ตื่นมาก็อยากทำอะไรเพื่อตัวเอง ก็บอกเรื่องนี้กับภรรยาไป มันก็เหมือนเป็นข้อตกลง ฝั่งภรรยาเขาก็รับได้เพื่อหน้าตาทางสังคม เพียงแต่ว่าทำอะไร มีอะไรต้องบอกกัน
ส่วนการร่วมงานกับเอมมี่สนุก ดีมาก เป็นครั้งที่ร่วมงานกัน ถือว่าเป็นคนที่เซ็กซี่ อย่างตอนเข้าฉากชุดว่ายน้ำอะไรก็มีแซวๆ กันว่าถ้าสวยขนาดนี้ไม่น่าเป็นเกย์เลย (หัวเราะ)
ส่วนเรื่องกลัวคนติดภาพเป็นเกย์ไหมนั้น คิดว่าเลยจุดนั้นมาแล้ว ไม่สนใจใครจะมองว่าเป็นหรือไม่เป็น ไม่สนใจเลย แต่สิ่งที่สนใจรับเล่นละครเรื่องนี้ คือ บทละคร เราเองมองว่าบทมันน่าสนใจ และตัวเองเป็นนักแสดง อยากทดสอบความสามารถของตัวเองสักครั้งนึงว่าบทมันอาจจะแรงสำหรับตัวเอง เป็นดาบสองคมให้กับตัวเอง แต่ในชีวิตนึงการเป็นนักแสดง อะไรที่ท้าทายก็อยากรับบทดู อย่างคนจะมองว่าใช่ไม่ใช่ อันนั้นบังคับใครไม่ได้ แต่สุดท้ายต้องเลือกรับงานที่อยากทำ และเราอยากทดสอบตัวเองที่เราจะได้ทำ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรก มีก่อนหน้านั้นเคยเล่นหนังกับน้ำชา สลับร่างกัน แต่อันนี้จะเป็นเรื่องจริงที่คนเขาเป็นกัน
ด้านการเข้าฉากกับไนกี้ ไม่เคยกังวลเลย เพราะเคยเล่นด้วยกันมาก่อนหน้านี้แล้วในเรื่อง 'ราชินีหมอลำ' และเรื่องนี้ก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ได้เล่นกับนักแสดงที่รู้จักกัน ความห่างของความสัมพันธ์อย่างน้อยๆ เคยรู้จักกันมาแล้ว ก็ทำให้ไม่เขินอาย แต่มันจะติดตลกมากกว่า คือด้วยภาษาพูดของบทละคร ชายรักชายพูดกันมันก็จะจั๊กจี้หน่อยๆ มันก็จะตลกๆ กัน จะแอบหัวเราะกัน แต่ถ้าเขินอายไหม มันไม่เขิน มันตลกๆ ดี
ในเรื่องกระแสของละครเขาก็จะบอกใช่ไหม เป็นไหมเนี่ย อินเนอร์แรงจัง สายตามาหมด แสดงดี แสดงให้เชื่อ เราก็รู้สึกดีที่เล่นถึง ทำให้อินไปกับเรา ฟีดแบ็คดี ถือว่าคนอินกับสิ่งที่แสดงออกไป ส่วนถ้ามีต่อๆ มาอีกก็ไม่ขอรับแล้ว คือมันได้ทดสอบแล้ว จริงๆ ก็มีพี่ๆ ผู้กำกับฯ ส่งบทมาอีก ก็ต้องขอโทษเขาไปว่าขอเรื่องเดียวก่อนดีกว่า เหมือนได้ทดสอบความสามารถแล้ว หยุดก่อนดีกว่า คือคนชอบติดภาพ ถ้าเล่นอะไรที่ติดๆ กันเกินไปคนจะติดภาพ พอไปเล่นตัวละครอื่นๆ คนจะไม่เชื่อ และมองว่านี่กำลังดี
ด้านการทำการบ้าน ไม่ต้องทำอะไรมา รอบข้างจะเป็นเกย์เยอะ ช่างหน้า ช่างผม ดูจากรอบข้าง จริงๆ อิงจากตัวละครมากกว่า เรามองว่าวิธีการนำเสนอ เกย์กับผู้ชาย ผู้หญิงกับผู้ชาย มันคือความรักเหมือนกัน แค่เราเชื่อว่าคนที่เล่นด้วยคือเรารักก็ไม่ต่างกัน เพราะถ้าจะบอกรักผู้หญิงคนนึงก็ต้องบอกจากสายตา สุดท้ายต้องอินในตัวละคร
ส่วนบทที่อยากเล่นคือได้ทุกแนวเลยที่ไม่เคยทำ อย่างคราวที่แล้วก็เล่นเป็นคนที่เล่นเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ชอบเล่นอะไรที่ไม่เคยทำ แล้วพอได้ลองทำก็อยากเข้าไปอยู่ในตัวละคร มันจะไม่ซ้ำซาก อะไรก็ได้ จริงๆ อยากลองเล่นบทเป็นคนโรคจิตด้วย เป็นคนแบบเนิร์ดๆ
จริงๆ มองว่าเป็นการสะท้อนสังคมมากกว่า มันอาจจะดูแรง ในทางละครอาจจะมีบทประพันธ์เข้าไป จะมีบางช่วงบางตอนที่ทำให้มันดูเข้มข้นขึ้น คือคนดูต้องย้อนกลับมาดูตัว ไม่ใช่ดูแล้วเลียนแบบ แต่ดูว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ชีวิตจะทำยังไง เพราะสุดท้ายชีวิตก็ไม่มีความสุขอยู่ดี จะเห็นจุดจบ ให้คนดูได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร เพราะสุดท้ายชีวิตของตัวเองไม่มีใครชี้ทางได้หรอกนอกจากตัวเราชี้เอง
สุดท้ายต้องฝาก 'รักต้องแลก' เป็นเปิดตอน กระแสดี คนพูดถึงรู้สึกประทับใจ ขอบคุณจริงๆ ที่เห็นในการแสดงของเรา เราเป็นนักแสดงอยากให้คนเห็น พอมีคนเห็นก็มีความสุข ฝากติดตามตอนต่อๆ ไปด้วย ต้องลุ้นว่ามันจะเป็นยังไงต่อ"