"เจมส์" พลิกบทบาทใน “Project S" โต้กระแสข่าวค่ายดันให้ดังเทียบเท่า "ต่อ"
"เจมส์ ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ" เผยพลิกบทบาทในซีรีส์ “Project S The Series” ตอน “SOS” โต้กระแสข่าวค่ายพยายามดันให้ดังเท่า "ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร" ไม่ซีเรียสกระแสเปรียบเทียบกับใคร
ถือได้ว่าเป็นนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นมากที่สุดอีกหนึ่งคนเลยในตอนนี้สำหรับหนุ่ม "เจมส์ ธีรดล" ที่ล่าสุดได้ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง "ฉลาดเกมส์โกง" ซึ่งทำให้เจ้าตัวเป็นที่จับตามองมากขึ้น จนมีกระแสข่าวออกมาว่าทางค่ายพยายามดันให้ดังเหมือนรุ่นพี่อย่าง "ต่อ ธนภพ" และไหนจะข่าวลือว่าตอนนี้หนุ่ม "เจมส์" เลิกกับแฟนสาวแล้ว วันนี้เจ้าตัวเลยออกมาอัพเดทผลงานให้แฟนๆ ได้ฟังกันและมาเคลียร์ข่าวลือประเด็นต่างๆ ว่า
สำหรับตอนนี้ก็เพิ่งปิดกล้องไปไม่นานกับ Project S The Series ตอนของตนเป็นตอนที่ 3 ชื่อตอนว่า SOS จะฉายหลังเรื่อง Side by Side หากถามเรื่องความกดดัน ตนก็ไม่กดดันอะไร เพราะ Projec S เป็นโปรเจ็คท์ที่ทำด้วยกัน เวลากระแสดีตนก็ดีใจด้วยอยู่แล้ว เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ตนไม่ได้มองว่าแยกหรืออะไร และก็ไม่เกร็งเพราะตนก็ทำตอนของตนให้ดีที่สุดแล้ว เรื่องนี้ท้าทายมากทำให้ตนต้องพลิกไปเป็นอีกคน เป็นบทที่ค่อนข้างเปลี่ยนจากตัวเองไปเลย จะไม่เห็นตนในลุคแบบเดิมๆ ในเรื่องนี้ บางคนบอกว่าเห็นตนเล่นแบบแบดๆ เล่นเป็นเพลย์บอย เป็นลูกคนรวยอะไรแบบนี้ แต่เรื่องนี้จะพลิกเลย เป็นการกระโดดครั้งใหญ่ของตนเลย และเป็นเรื่องที่ทำการบ้านเยอะมากที่สุด ไม่ใช่ระยะเวลานิดเดียวของการทำงาน คือช่วงเวิร์คช็อป ช่วงที่ทำการบ้าน คือช่วงที่ตนทำก่อนถ่าย 1-2 เดือน ถามว่าคาดหวังไหม เวลาทำงานก็อยากให้งานออกมาดี อยากให้มีคนชอบ มีคนพยายามเข้าใจในสิ่งที่ตนจะสื่อ แต่ว่าสุดท้ายแล้วถ้าทำเต็มที่ที่สุด และรู้สึกว่าชอบผลงานตัวเอง ตนก็พอใจแล้ว ส่วนเรื่องคนดูหรือเรื่องกระแสไม่สามารถคอนโทรลได้อยู่แล้ว แต่หวังว่าจะดี ในส่วนของตนให้เต็มที่ที่สุดแล้ว
ส่วนล่าสุดมีกระแสจากกระทู้พันทิปเม้าท์ว่าทางค่ายพยายามจะปั่นตนให้ดังเท่า "ต่อ ธนภพ" นั้น ตนไม่รู้สึกเช่นนั้น การทำงานมันเป็นเรื่องของจังหวะ โอกาส ระยะเวลา ทุกๆ อย่าง แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะคิดอย่างไร แต่ตนก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ คิดว่าเท่ากันทุกคนอยู่แล้ว อาจจะเพราะว่าเป็นช่วงผลงานออกมาพอดี ตนรู้ว่าต้องเล่น Project S ก่อนหนังออก มันเลยเป็นช่วงจังหวะพอเหมาะพอดี คนเลยอาจจะคิดแบบนั้น
ด้านกระแสเปรียบเทียบ ตนรู้สึกเฉยๆ เพราะมันเป็นความคิดที่ไม่สามารถไปคอนโทรลใครได้ คิดว่าเป็นกระจกสะท้อนมุมมองคนภายนอกที่เขาเห็นตน ตนก็จะได้เรียนรู้และเติบโตจากมัน รู้สึกว่าหากทุกคอมเมนต์อยู่ในขอบเขตที่มันพอเหมาะ ตนก็โอเค และคิดว่าจะเป็นก้าวที่ทำให้เรียนรู้และแข็งแรงมากขึ้น กับพี่ "ต่อ" ตนก็สนิท เจอกันบ้าง แต่อาจจะไม่ได้คุยบ่อย เขาเป็นพี่ที่ตนเคารพ คือถ้าตนอยากรู้เรื่องการแสดงก็ค่อนข้างที่จะคุยกับเขาบ่อย ส่วนที่ถามว่าตนตามอ่านคอมเมนต์ไหม ตนก็ตาม เพราะชอบนั่งดูพวกคอมเมนต์ ชอบเวลาที่มีคนให้ความสนใจอะไร แล้วก็คอมเมนต์กัน ตนจะได้รู้ว่าเขามองยังไง แล้วมีจุดไหนที่ต้องปรับแก้ สำหรับคอมเมนต์ที่ไม่ดี ตนก็ไม่เครียด ถ้ารู้สึกว่าอันไหนมันเมคเซ้น สุดท้ายมันคือการปล่อยวาง ก็แค่คิดว่าคอมเมนต์ที่ว่าแรงๆ มันทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือเปล่า มันสอนอะไรหรือเปล่า สุดท้ายถ้ามันไม่ได้สอนแล้วตนลงไปเครียดกับมัน ก็ไม่ได้อะไร นอกจากจะทำให้ชีวิตแย่ลง ไม่มีความสุข ส่วนตน โอเคกับคอมเมนต์ที่เกี่ยวกับตน ถ้าเขาวิจารณ์แสดงว่าเขาให้ความสนใจ เขาติดตามผลงานของตน แต่ถ้าเริ่มมาเกี่ยวกับคนรอบตัวอย่างคุณพ่อหรือคุณแม่ ตนรู้สึกว่ามันล้ำเส้น บางทีคอมเมนต์แรงๆ ตนก็ไม่จำเป็นต้องตอบกลับ เพราะตอบกลับไปมันก็จะทำให้ตนเครียดและหงุดหงิดเอง จึงเลือกที่จะปล่อยมันไป ด้านฟีดแบ็คที่ไปถ่ายนิตยสารมานั้น "เจมส์" เผยว่าตนชอบ ใครไม่ชอบไม่รู้แต่ตนชอบเล่มนี้มาก ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็รู้สึกดีที่มีคนชอบและมีคนแท็กมาในไอจีบ้าง
อีกข่าวลือว่าหนุ่ม "เจมส์" เลิกกับแฟนสาว เจ้าตัวบอกว่าตอนนี้ยังคบกันอยู่ ไม่ได้เลิกกัน ตอนนี้คบกันมา 4 ปีแล้ว แต่อยู่กันไปนานๆ อาจจะไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกันเท่าไหร่ ตนรู้สึกว่าคบไปนานๆ ความรักมันมีอะไรมากกว่าการลงรูป เลยรู้สึกว่าไม่ต้องลงก็ได้ ตนก็สบายใจที่จะอยู่กันแบบนี้ ถ้าเจอรูปไหนสวยก็ค่อยลง เขาก็ไม่ได้ซีเรียส ตนก็ไม่ได้ซีเรียส ทุกคู่มันก็ต้องมีปัญหากันเล็กๆ อยู่แล้ว ก็พยายามปรับความเข้าใจกัน ตนใจเย็นลง และคิดว่าจะชวนไปปฏิบัติธรรมด้วย ตนกำลังหาช่วงเวลาอยู่ ช่วงที่ไปอังกฤษมีช่วงเวลาที่สงบเลยรู้สึกว่าอยากปฏิบัติธรรม แล้วยิ่งเวิร์คช็อปหรือเรียนการแสดงจะมีเรื่องของสมาธิ ตนเลยรู้สึกว่าถ้าไปนั่งสมาธิแล้วได้ไปผ่อนคลาย ไปทิ้งทุกอย่างแล้วอยู่กับตัวเอง ณ โมเมนต์นั้นน่าจะเป็นอะไรที่ดี ตอนเด็กๆ แม่เคยชวนแต่ตนไม่อิน พอช่วงนี้รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมมันน่าจะดี โดยอาจจะเริ่มต้นที่อาทิตย์นึงก่อนหรือสามวัน