ครั้งนี้ขอปัง! “ปู” ยอมทิ้งงานเมืองนอก กลับรับงานละคร “บางกอกนฤมิต”
กลับมารับงานละครอีกครั้ง สำหรับสาวทรงเสน่ห์ “ปู ไปรยา ลุนด์เบิร์ก” หลังจากทิ้งงานละครไปกว่า 3 ปี ซึ่งการกลับมาครั้งนี้เป็นการร่วมงานต่างค่าย และในบทบาทร้ายสุดๆ อย่างที่ไม่เคยรับมาก่อน อย่างบท “มาลัยวรรณ” ในละคร “บางกอกนฤมิต” ซึ่งหลายคนก็จับตามองเป็นพิเศษถึงการกลับมาครั้งนี้ โดยสาว “ปู” เผยถึงการกลับมาร่วมงานครั้งสำคัญและบทบาทครั้งนี้ รวมถึงงานในต่างประเทศที่เธอยังคงมีสัญญาอยู่ “ปู” เผยว่า
การมาร่วมงานกับช่องวัน จริงๆ ก็มีโอกาสพูดคุยกันเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เอาจริงๆ ก็มาจากคิวตรง เรามีคิวว่าง 45 คิว ก็เลยมีบินไปๆ มาๆ ไทย 2 อาทิตย์ ต่างประเทศ 2 อาทิตย์ คิดว่าน่าจะปิดกล้องได้ใน 4-5 เดือน ตามที่เคยพูดเอาไว้เป๊ะ เราก็ดีใจที่ได้รับละครที่บทประพันธ์ดี และเป็นครั้งแรกที่ได้เล่นของคุณพงศกร เรื่องนี้รับบท “มาลัยวรรณ” จริงๆ เราอยู่ในวัยที่น่าจะเล่นบทบาทประมาณนี้มานานแล้ว เป็นตัวละครที่ร้ายแต่มีที่มาที่ไป เป็นอีกครั้งนึงที่รู้สึกว่าเป็นบทบาทที่เราต้องพยายามมาก และก็อยากให้มันออกมาดี ก็รู้สึกว่าโชคดี ดีใจ ที่เราไปนิวยอร์กครั้งนี้ก็ไปเรียนการแสดง กลับมาก็มาเรียนการแสดง เรียนเป็น intensive เรียนทุกวัน ที่ไทยก็เรียน ตอนที่ช่องวันติดต่อมา สิ่งแรกที่เราขอเลยก็คือ ให้มีครูวอยซ์ และมีครูการแสดงประกบทุกฉาก ไม่มีฉากไหนที่เดินเข้าฉากโดยไม่มีครู ซึ่งก็ใช้ทั้ง 2 อย่าง ทั้งครูที่นี่และที่โน่น เราโตมากับละคร และมีทุกวันนี้ก็เพราะละคร แต่สิ่งที่เราคิดว่าเราขาด คือเราไม่เคยมองว่ามันคือศิลปะ คิดว่ามันคืองาน ส่วนที่กลับมารับ เราอยู่ในวัยที่ไม่มีคิวเยอะมากที่จะทำให้เราเครียดเรื่องตารางงาน พอคิวมันลงตัว มันสั้น และเป็นโอกาสที่เราจะได้มารับนิยายที่เราชอบ ก็เลยมาลองดูอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มีการวางพลอย เฌอมาลย์ เอาไว้ เราก็มาทราบตอนที่เป็นข่าว มันไม่มีคำว่าเสียบแทน เพราะว่าการทำงานอาชีพนี้ ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าจะเล่นหรือไม่เล่น มีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว อย่างสมมติว่าเราไม่ได้รับงานนี้แล้วก็มีคนอื่นมาเล่นแทนก็ไม่ได้เรียกว่า เสียบ มันเรียกว่าเขามีโอกาสที่ชอบและเหมาะกับเขามากกว่า มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา เรียกว่าเสียบแทนไม่ได้เลย เรารักพี่พลอยมาก เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของเรา วิธีที่เราจะพูดก็ต้องระวังมากเลย เพราะคนก็มองว่าเมื่อมีคนมาแทนต้องเป็นประเด็นดราม่า แต่มันไม่มีคำว่าแทน เพราะในทุกบทบาทก็มีตัวเลือกลายคน สมมติว่าคนนี้คิวไม่ตรงคนอื่นก็มาเล่น คิวของเราก็แน่น อย่างเราตอนนี้ก็ถ่ายอีก 3 วัน และบินกลับไปอเมริกาอีก 8 วัน และก็กลับมาถ่ายอีก 10 กว่าวัน และก็กลับไปใหม่ คนมักจะมองว่าทำไมต้องเคร่งครัดเรื่องคิว คำว่า strict เรื่องคิวล่วงหน้าก็เพราะว่าไม่อยากให้มีข่าวตามมาว่าเราไม่ได้สื่อสารกับเขาตั้งแต่ต้นว่า อันนี้คือชีวิตของเรา วิถีชีวิตเราเป็นแบบนี้ การที่เราจะร่วมงานกันก็เหมือนเราเป็นครอบครัวกัน มันก็ต้องมีการพูดคุยกันตั้งแต่ต้นว่าเรามีลิมิตตรงไหน โอเคกับอะไร แล้วพอลงตัว เขาขออะไรเพิ่มเราก็ต้องให้ เพราะมันคือผลงานของเรา ก็ไม่ได้ซีเรียส
เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเกร็งเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่เกร็ง แต่อย่างที่บอก มันอาจจะเป็น 1 หรือ 1 ใน 2 เรื่องสุดท้ายที่เราจะรับแล้ว เลยบอกว่าที่กลับมาก็เพราะว่าอยากจะเล่นให้เต็มที่ และถ้ามันทำให้คนชื่นชม ติดตาม เราก็ภาคภูมิใจแล้ว เพราะเราก็มีโปรเจ็คท์อย่างอื่น และงานอื่นๆ ที่เราใฝ่ฝันอยากทำต่อนอกเหนือจากละคร อย่างที่บอก งานเมืองนอกของเราหนัก ถ้าเรารับงานที่นี่ก็รับงานที่โน่นไม่ได้ และเราก็ห่างหายจากงานละครไปนาน ก็เลยอยากกลับมารับงานที่คิวลงตัวใน 6 เดือนแรก แต่หลังจาก 6 เดือนแรกผ่านไป เราก็จะกลับไปรับงานที่โน่น แคสต์หนัง งานที่โน่นเหมือนเดิม ส่วนจะเป็นปีสุดท้ายที่เห็นเราในงานละครไหม ก็อยากให้ดูเรื่องนี้ก่อน ถ้าชอบและคนชอบจริงๆ และอย่างที่บอกว่าถ้าตารางงานที่เมืองนอกถึงจุดๆ หนึ่งที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีหนัง เราก็จะกลับมารับ แต่ถ้ามี เราก็จะทำตามความฝันของเราเองต่อไป
การรับงานที่ไทย เอเจนซี่มีส่วนกับการตัดสินใจไหมนั้น ที่ต้องบินไปๆ มาๆ จริงๆ เพราะว่าเราก็มี work permit กับเอเจนซี่ที่โน่น ถ้าเราไม่อยู่รับงานที่โน่นเขาก็สามารถบอกว่า ถ้าไม่อยากทำงานที่โน่นก็มาทำที่นี่ก็ได้ เรื่องการทำงานบินไปๆ มาๆ เราชอบ ไม่มีปัญหา เรารู้สึกว่าทุกครั้งที่มีงานเราโชคดี “ปู ไปรยา” เมื่อ 6 ปีที่แล้วโฆษณาตัวนึงของเรายังไม่มีเลย เคยอยู่ในจุดที่ไม่ใช่ตรงนี้ เลยคิดว่าตราบใดที่มีงาน ตราบใดที่บินไหว และเขายังต้องการเราอยู่ก็ทำไปเถอะ อย่าคิดเยอะ
งานที่โน่นเยอะขนาดไหน ก็ไม่ได้เยอะมาก เพราะว่ามีการแข่งขันค่อนข้างสูง เราก็เพิ่งเริ่มเรียนการแสดง แต่เราก็ชอบ มีความสุข มันลดทิฐิได้หลายๆ เรื่อง และก็ได้สู้เพื่ออาชีพตัวเองในเชิงศิลปะ ไม่ใช่เพื่อได้โฆษณา มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกัน ที่เราเล่นบางอย่างมันเป็นจิตสำนึกว่าได้กระแสก็เลยเล่น แต่ที่โน่นเราไม่ได้เป็น “ปู ไปรยา” เราเป็นใครก็ไม่รู้ ต้องสู้ด้วยความสามารถจริงๆ แล้วเราก็ได้รู้ว่า ด้านนางแบบ ด้านอย่างอื่นทำได้ แต่เรื่องการแสดงเราสู้คนที่เรียนการแสดงมาเป็น 10-15 ปี มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นบทเรียนที่มีค่ามาก เราไม่อยากจะแลกกับอะไรเลย การไปเริ่มจากศูนย์ที่โน่นมันทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนโชคดีมาก
กับผลงานครั้งนี้ก็คาดหวังมากๆ ไม่ได้คาดหวังกระแส แต่คาดหวังว่าคนจะพูดว่าเราเล่นดี ขอสักเรื่อง ขอเรื่องนี้แหละที่คนพูดว่าติด ชอบ ถามว่าเป็นปมไหม มันไม่ใข่ปม แต่คนก็รู้ว่าเราเซ็นกับสังกัดบ้านเกิด เราเรียนรู้ภาษาไทย การแสดงก็จากกองถ่าย ตอนอายุ 13 ปี ที่มีทุกวันนี้ก็จากกองถ่าย แต่ต้องบอกว่าเด็กที่ไม่ได้มีความใฝ่ฝันเรื่องการแสดง จะให้เล่นดีก็ไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่ความฝันของเขา แต่พอโตขึ้นก็พบว่านี่แหละคือความฝันที่ต้องการให้คนเห็นว่าเราก็มีความ สามารถด้านนี้ ก็เอาเรื่องนี้เป็นเดิมพันว่าเราทำอะไร ไม่ถอย ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่สุด แต่เด็กที่ต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ตั้งแต่เด็กๆ ชีวิตอยู่กับกองถ่าย และที่หายไป 3 ปีก็เป็นการไปรีเช็ตตัวเองใหม่ ถามใจตัวเองว่าชอบเป็นนักแสดงหรือเปล่า และเมื่อไหร่ที่ชอบก็กลับมาเล่น และก็ได้ไปเรียนการแสดงที่เมืองนอกมา
ก็มีโอกาสได้คุยกับคุณแมทธิวเรื่องนี้แบบลึกซึ้งว่า ในชีวิตเรามีอะไรที่เราเครียดมาโดยตลอด เขาก็เลยบอกว่า อยากให้กลับมาเล่นเรื่องนี้เป็นเรื่อง 1 หรือ 1 ใน 2 เรื่องสุดท้าย และก็ตั้งใจที่สุด จะได้มองกลับไปว่า คำว่านักแสดงยังใช้กับ “ปู ไปรยา” ได้อยู่ มันไม่ใช่แค่ดารา กับเรื่องนี้เราก็อ่านกันหลายรอบ และมีปรับแก้กันบ้าง แต่เป็นเรื่องที่เราชอบ บท “มาลัยวรรณ” เป็นบทที่ชอบ เขาร้ายนะ และเราก็เคยเป็นเหมือนเขา คนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมพยายามเท่าไหร่มันไม่ได้ คนที่สวยกว่า ดีกว่าได้ ทำไมต้องสู้ ต้องพยายาม ทำไมโอกาสไม่มาสักที และทำไมเมื่อมาแล้วก็หายไปทันที การกระทำของเขาในหลายๆ เรื่องเป็นสิ่งที่เราเคยผ่านมา มีความเข้าใจว่า คนมีทั้งดีและไม่ดี และก็เข้าใจเขา และทำให้เราอยากเล่นเรื่องนี้มาก มีทำเสน่ห์อะไรแบบนี้
ถามว่าเสียไหม เราได้คำตอบเรื่องการเป็นนักแสดงช้า เราไม่เคยเสียดาย เพราะตอนเด็กๆ ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ดูแลครอบครัวด้วย ความรับผิดชอบมันสูง มันเลยไม่ได้เกี่ยวกับว่าคิดช้าหรือเปล่า แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกับเราอาจจะไม่เข้าใจว่าคนที่เป็นนักแสดงดารามันมาพร้อมกับการเสียสละไปเยอะมาก รวมถึงวัยเด็ก มันก็พูดยาก แต่บ้านเกิดของเรา (ช่อง 7) ดูแลและประคองให้เรามีวันนี้ เลยบอกว่า เราขอบคุณที่คิดได้วันนี้ก็เพราะบ้านเกิด
กับผลงานเรื่องนี้ ถามว่าประสบความสำเร็จจะอยู่เมืองไทยยาวไหม เราก็จะมีบินไปๆ มาๆ ส่วนถ้าไม่ปังแล้วจะอยู่ที่เมืองนอกเลยไหม ก็ไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าเราจะมาโทษเมืองไทยเพราะว่าเราเล่นไม่เก่งมันไม่ใช่เรื่อง ถ้าเล่นไม่ดีก็เป็นความผิดตัวเอง นี่เป็นบ้านเกิดเรา แต่ที่อยากกลับมาเล่นคือคุยกับแมทแล้วเขาก็ถามว่า อาชีพของเราคืออะไร พอตอบว่าเป็นนักแสดงเขาก็เลยบอกว่า ก็ควรทำให้อาชีพนี้น่าภาคภูมิใจ ทำให้ตัวเองภูมิใจ
การเปิดกล้องไปเมื่อวานอะไรก็ดีมาก เรามีความสุข เคมีต่างๆ ก็ดี แต่บทนี้เป็นครั้งแรกที่ร้ายขนาดนี้ ก็ชอบ ประทับใจ ส่วน 6 เดือนหลังต่อจากนี้จะไปแคสต์หนังที่ต่างประเทศไหม ก็ใช่ ล่าสุดเพิ่งได้รับหนังเรื่องใหม่เข้ามา เดือน 5 แต่ก็รับไม่ได้ เพราะว่ารับเรื่องนี้ ก็เป็นการตัดสินใจที่คิดลึกมาว่าเลือกละคร เพราะคิดว่าที่นี่คือพื้นฐานของเรา อย่างน้อยสร้างฐานให้แข็งก่อน แล้วค่อยกลับไปสู้ที่โน่น ถ้าเราห่างหายไปจากจอนานเกินไป เราคิดว่ากระแสงานเมืองนอกเราเอาไม่อยู่ เราไม่ได้กลัวคนลืม แต่กลัวคนมองว่าไม่หลากหลาย ส่วนเรื่องโปรเจ็คท์หนังที่ต้องทิ้งไป ไม่ได้เป็นระดับฮอลลีวู้ด เป็นระดับกลาง
ส่วนเรื่องประเด็นนางเอกที่ออกจากช่อง 7 หลายๆ คน เรามองว่าชีวิตมันสั้น เอาง่ายๆ คือเราก็ผ่านข่าวอะไรมาเยอะมากในชีวิต ผ่านจุดที่คนด่า คนไม่ชอบมาแล้ว นี่คือสัจธรรม อย่าลืมว่าเราอาจจะเป็นคนที่คนรัก แต่วันหนึ่งข้างหน้าอาจจะเป็นคนที่ทุกคนไม่ชอบ มันอาจจะมาจากการกระทำและนิสัยของเรา เราก็ต้องคิดดี ทำดี เราไม่สามารถทำให้ทุกคนรักเราได้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบเรา มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ว่าเราก็มีสิทธิ์ที่จะเมตตาและเข้าใจเขา อย่าลืมว่าเราเป็นคนของประชาชน อาชีพนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพราะสังคม จงอย่าว่าเขาถ้าเขามีความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเรา จงรับและปรับปรุงตัว ชีวิตนี้เราก็เจอมาเยอะแล้ว ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถ้าโรยด้วยกลีบกุหลาบก็คงไม่มาถึงจุดนี้ ชิวมาก