เปิดเส้นทางชีวิตนักแสดงของ “หญิง รฐา” กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!
สวย ครบสูตรจริงๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับนักร้อง นักแสดงสาวมากความสามารถ “หญิง รฐา โพธิ์งาม” หรือ “ญาญ่าญิ๋ง” ที่ใครหลายๆ คนรู้จัก จุดเริ่มต้นการเข้าสู่วงการบันเทิงของเธอจะเป็นอย่างไร “ดาราเดลี่” จะพาไปย้อนวันวานเส้นทางก่อนจะดังของเธอกัน
“หญิง รฐา” เผยชีวิตในวัยเด็ก จริงๆ เรียนหนังสือ เข้าวงการตอนอายุ 16 ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยทำอะไรในวงการบันเทิงเลย นอกจากแค่เป็นลูกดารา ก็คือลูกแม่ “น้อย โพธิ์งาม” นั่นเอง ซึ่งตอนนั้นมีโอกาสได้ไปออกรายการบ้าง ได้โชว์ความสามารถร้องเพลงบ้าง จนทางแกรมมี่ได้ไปเห็นเทปรายการ แล้วก็เลยเรียกมาแคสต์ แต่ความฝันตอนเด็กเราฝันอยากเป็นนักการทูต อยากท่องเที่ยว แล้วเราก็เป็นคนชอบเรียนภาษา ก็เลยอยากเป็นทูตอยากท่องเที่ยว แต่พอโตมาแล้วก็ไม่ได้เป็นดั่งที่หวัง แต่ก็แปลกที่เราได้ใช้ภาษาที่เรียนมากับการทำงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งได้ท่องเที่ยวเหมือนกัน
เคยคิดไหมว่าตัวเองจะเข้ามาเป็นดารา นักแสดง จริงๆ หลายๆ คนตอนเราเด็กก็ทายมาตลอดว่าเราเดินตามรอยแม่ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แน่นอน ซึ่งเมื่อก่อนเราก็แอนตี้เพราะว่าคุณแม่สมัยเป็นสาวๆ ถ่ายหนัง เล่นละคร เล่นตลก ซึ่งเล่นตลกกว่าจะกลับบ้านได้ก็มีตี 5 พอตี 5 เราก็ต้องลุกไปโรงเรียนแล้ว ก็จะแอนตี้ ตอนนั้นรู้สึกไม่มีความสุขเลย แต่พอมาถึงวันที่เราเป็นจริงๆ แล้ว เราถึงเข้าใจว่าทำไมถึงทำงานนี้เพราะความรัก และความรับผิดชอบ และอีกอย่างมันไม่ใช่งานที่เราทำด้วยตัวคนเดียว เราทำงานกับทีมงานคุณภาพหลายๆ คน เพราะฉะนั้นการทำงานในวัยเรา เลยสอนให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น
จุดเริ่มต้นของการเข้าวงการ เริ่มจากทางแกรมมี่ได้เห็นเทปรายการ “สี่ทุ่มสแควร์” ที่เราไปออก เพราะเห็นเราร้องเพลง และพี่ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ตอนนั้นอยู่ในแกรมมี่ แล้วก็ทำค่าย “บาแรมยู” ก็มีพี่ “เจี๊ยบ วัฒนา” เป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้มแรกของเรา พี่เขาก็เรียกมาคุย มาร้องเพลงให้ฟัง และสุดท้ายก็ได้ออกอัลบั้ม โดยอัลบั้มแรกชื่อว่า “ญาญ่าญิ๋ง” ก็เลยกลายเป็นชื่อที่ทุกคนจำได้
ถามถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักแสดง พอเราอยู่ในวงการเพลงมาสักพัก มาถึงช่วงธุรกิจเพลงซบเซา มีการเข้ามาของ MP3 เริ่มมีการโหลด มันก็เลยทำให้ตัวศิลปิน นักร้องในยุคนั้นบางคนถูกลืม ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้นที่ทางค่ายเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ก็เลยหันเหมาเล่นละคร ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่าได้รับเกียรติจาก “พี่บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” เพราะว่าตอนนั้นเราเล่นละครเวที จากที่ไม่เคยเรียนแอ็คติ้งเลย ตอนนั้นเล่นเวทีเรื่อง “ฟ้าจรดทราย” เลยทำให้ “พี่หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธ์ุ” บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ไปเห็นเรา ในคาแรกเตอร์นั้นก็เลยอยากเอาเรามาเล่นละคร ก็เลยได้เล่น “ฝากดินกลิ่นดาว” ซึ่งเราเล่นเป็นนางเอกด้วยตอนนั้น ประกบคู่กับ “พี่อ้น สราวุฒิ มาตรทอง” หลังจากนั้นก็ “ต้มยำลำซิ่ง” และเรื่องอื่นๆ ตามมา กับทางบรอดคาซท์ฯ พอเราได้ไปเล่นละครช่อง 3 ก็กลายเป็นว่าผู้จัดฯ ช่อง 3 หลายๆ คนก็ให้โอกาส มีทั้ง แม่หนู สรวงสุดา, พี่อ๊อฟ, พี่แดง แล้วก็อีกหลายๆ ท่าน ก็เลยทำให้ภาพเป็นนักแสดงเต็มตัวช่วง 4-5 ปีนี้
สำหรับผลงานแจ้งเกิดของเรา คือจริงๆ ถ้าคัมแบ็คเลยก็จะเป็นภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา” ของ “หม่อมน้อย หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล” เป็นผู้กำกับฯ เรียกว่าเป็นการคัมแบ็คเข้ามาในสายของการเป็นนักแสดง และทำให้คนเชื่อว่าเราเป็นนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนั้น หลังจากนั้นก็คิดว่ามันก็ไปของมันได้เรื่อยๆ ทุกๆ คาแรกเตอร์ พอเป็นละครก็มีหลายๆ อย่าง เรื่องนี้ประสบความสำเร็จบ้าง เรตติ้งดีบ้าง แต่ว่าในปีที่เราเล่นภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา” และก็ภาพยนตร์ต่างประเทศ บวกกับตอนนั้นได้ไปเทศกาลหนังเมืองคานส์ ตรงนั้นก็เลยเหมือนกับภาพของเราก็เลยเป็นนักแสดง ทำให้หลังจากนั้นก็ทำให้เรามีงานแสดงเยอะขึ้น
การปรับตัวหลังก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ตอนนั้นเป็นนักร้องเราเอาแต่ใจ เพราะว่าเราไม่เคยทำงานดึก งอแง มีหมดเลย เราต้องผ่านจุดที่งี่เง่า จนบางทีทีมงานบางคนต้องเอือมระอากับความเอาแต่ใจของเรา แต่สุดท้ายทุกสิ่งอย่างจะสอนให้เราเข้าใจเองว่า เราจะงอแงกับใครก็ได้ที่บ้าน เพราะเขารักเรา เลี้ยงเรา พร้อมที่จะสปอยด์เรา แต่เมื่อวันหนึ่งเราไปอยู่ในสังคมอื่นที่ทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเทคแคร์เรา ทุกคนมีอาชีพ มีหน้าที่ของตัวเอง คุณต้องรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ได้ มันเลยทำให้การทำงานมันสอนให้เราใช้ชีวิต ว่าเราไม่งอแงไม่ได้แล้ว แต่ก่อนต้องนอนเพราะต้องไปเรียน ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เรารักจะมาตรงนี้เอง เรารักที่จะทำงานด้านนี้เอง เราจะไปงอแง ใส่คนอื่นไม่ได้ มันก็สอนเราไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเราก็โตขึ้น เราก็เข้าใจในมุมการเป็นนักแสดงทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง
ส่วนวิธีรับมือกับกระแสดราม่าของตนเอง จริงๆ มันก็มีมาเรื่อยๆ เราก็โดนเยอะ แต่ว่าโชคดีที่ว่าเป็นคนไม่ค่อยเครียด ไม่จมอยู่กับความเครียดมากนัก เป็นคนปล่อยวาง เป็นคนขี้ลืมด้วย ถ้าช่วงแรกๆ ก็มีสมัยอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู ก็ไปอ่านคอมเมนต์ ส่วนมากก็จะโดนเรื่องไม่สวยบ้าง ไม่เหมาะบ้าง จนวันหนึ่งเราก็ค่อยๆ พิสูจน์ตัวเองขึ้น จนมีบางคนบอกว่า เราเล่นเรื่องนี้แล้วน่าดู ซึ่งมันก็เป็นความภูมิใจของเรา
ฝากถึงนักแสดงรุ่นใหม่ที่คิดอยากจะเข้าวงการ เราไม่สามารถบังคับความคิดใครได้ เพราะทุกคนมีความคิดเป็นของตนเอง เขาจะคิดยังไงช่างเขา แต่เรายืนอยู่ในจุดที่เราสามารถปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทั้งความคิด ทั้งพัฒนาการแสดง หรืองานต่างๆ ที่คุณกำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้นใช้งานพิสูจน์ตัวเอง เพราะใช้คำพูดพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ผล ใช้การกระทำเช่นความประพฤติของตัวเราเอง หรือการแสดงก็ตาม แม้แต่ผลงานก็ตาม
สุดท้ายฝากขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตาม ดีใจ เพราะว่าหลายๆ คนเห็นเลยว่า ตั้งแต่เด็กจนโตจนถึงทุกวันนี้จากเมื่อก่อนตามเราไปที่ตึกแกรมมี่ แต่ตอนนี้เข้าไปทำงานที่แกรมมี่แล้ว เป็นคนโทรมาตามคิวงาน คิวละครเราเอง ดีใจมาก เพราะว่าจริงๆ ทุกคนเกิดจากความชอบตัวศิลปินแต่ละท่าน แล้วก็อยากเดินตาม บางคนก็ได้ทำงานในวงการ บางคนทำงานเบื้องหลัง บางคนได้เขียนบท บางคนได้ทำงานที่เติบโตตามเรา ดีใจที่ทุกคนประสบความสำเร็จ น้องๆ รุ่นใหมที่เพิ่งมาดูผลงานเราก็ขอบคุณมากๆ ขอบคุณที่รักกัน