เก็ตกฎหมายอโยธยา เหตุ “คุณพี่เดช” ขู่แรง “แม่นาย”
เรตติ้งพุ่งแรงต่อเนื่องสำหรับละคร เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” เพราะนอกจากจะให้ความฟินจากคู่หวานในเรื่องแก่คนดูแล้ว ยังให้ความรู้ที่แอบแฝงเข้าไปในละครอีกด้วย ทั้งในส่วนของประวัติศาสตร์ หรือธรรมเนียมประเพณีและลักษณะนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนสมัยก่อน และวันนี้ทาง “ดาราเดลี่” จะส่งต่อความรู้เล็กๆ น้อยๆ มาให้แฟนละครได้เก็บเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์กัน
สำหรับตอนที่ผ่านมา หากใครได้ติดตามละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จะมีซีน “ขุนศรีวิสารวาจา” หรือ หนุ่ม “โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” ขู่ “แม่การะเกด” หรือสาว “เบลล่า ราณี แคมเปน” อย่างเข้มงวด ว่าห้าม “คบชู้” คงทำให้ใครหลายๆ คนแอบฟินว่าพระเอกมีความหึงหวงนางเอกสุดๆ หากแท้จริงเบื้องลึกของคำขู่ที่หลายคนมองเป็นเรื่องตลกนั้นเป็นรากของสังคมสมัยก่อนที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในสังคม ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดกับผู้หญิงในยุคสมัยนั้น
ต้องบอกเลยว่าเสรีภาพของสตรีในอดีตกับปัจจุบันต่างกันมาก เรียกได้ว่าหญิงไทยในยุคสมัยอยุธยานั้นอยู่ยากอย่างแน่แท้เลยทีเดียว เพราะถูกตีค่าเป็นเพียงแค่ “วัตถุ” ของผู้ชายในสมัยก่อนเท่านั้น อย่างแม่ “การะเกด” แห่งกรุงศรีอยุธยาที่มัวแต่ให้ความสนใจกับ “ขุนเรือง” จนทำเอา “คุณพี่เดช” เกิดอาการหึงหวงแม่นางอย่างหนักถึงกับต้องเรียก “การะเกด” มาตักเตือนกันเลยทีเดียว แถมยังกริ้วยกกฎหมาย “ลักษณะผัวเมีย” ขึ้นมาอีกด้วย
เกร็ดความรู้จากละคร เรียกได้ว่าในสมัยอยุธยามีการใช้ “กฎหมายลักษณะผัวเมีย” ที่อนุญาตให้ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ถึงหลายคน ไม่เพียงเท่านั้นจะมีการแบ่งประเภทของภรรยาเป็น 3 ประเภท คือ “เมียกลางเมือง” หรือเมียหลวง ซึ่งเป็นเมียดั้งเดิมที่แต่งงานโดยถูกต้องตามประเพณี และมี “เมียกลางนอก” หรือเมียรองลงมาจากเมียหลวง หรือจะเรียกว่าเป็นเมียน้อยเหมือนในยุคปัจจุบันก็ได้ และสุดท้ายคือ “เมียกลางทาสี” หรือเมียทาส ที่ผู้ชายได้ซื้อหรือไถ่ตัวมา หรือการเอาทาสหญิงในบ้านมาเป็นภรรยา แสดงให้เห็นถึงระบบ “ผัวเดียวหลายเมีย” ซึ่งผู้ชายจะมีเมียมากน้อยแค่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่า “เป็นชู้” กันนั่นเอง
ในส่วนของผู้ชายที่สามารถมีภรรยาได้หลายคน แต่มามองในมุมของผู้หญิงที่กลับกัน ผู้หญิงจะไม่สามารถมี “สามี” ได้หลายคนเหมือนผู้ชาย แต่ต้องอยู่ในโอวาทหรือความครอบครองของผู้ชายเพียงเท่านั้น แถมยังเป็นเหมือนทรัพย์สินของผู้ชายอีกด้วย ซึ่งถ้าหากหญิงใด “คบชู้” ไปมีสัมพันธ์กับชายอื่น ผู้เป็นสามีสามารถให้บทลงโทษได้ด้วยการโบย หรือการเฆี่ยนหลังของยุคสมัยนั้นๆ หรือสามารถนำไปขายเป็นทาสหรือจำนำจำนองได้ และยิ่งมากไปกว่านั้น จะมีวิธีที่รุนแรงที่สุดสำหรับภรรยาที่คบชู้ ก็คือผู้เป็นสามีสามารถฆ่าภรรยาของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความผิดในด้านอื่นๆ ก็ตาม เพราะจะถือว่าเป็นการรักษาชื่อเสียงและเกียรติยศของตัวเองและวงศ์ตระกูล ได้รู้กันอย่างนี้แล้วหลายๆ คนคงคิดว่าไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
แม้ภาพของผู้หญิงในสมัยอยุธยาจะถูกตีค่าเป็นแค่วัตถุ แต่ต่อมาก็ได้เกิดตรากฎหมายลักษณะครอบครัวที่ระบุให้ครอบครัวต้องมี “ผัวเดียวเมียเดียว” ต่อมาเพื่อสร้างความเป็นอารยะและประชาธิปไตยให้มีความเท่าเทียมกันกับต่างประเทศ ในปี พ.ศ.2478 และในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้นำระบบผัวเดียวเมียเดียวมาผนวกกับแนวคิด “การสร้างชาติ” ที่ทำให้ผู้หญิงเริ่มได้รับสิทธิในด้านต่างๆ มากขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน