เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “คริส พีรวัส” กับชีวิตที่มากกว่าฝัน
แจ้งเกิดเป็นดาวเด่นประดับวงการบันเทิงได้อย่างสวยงาม สำหรับนักแสดงหนุ่มดาวรุ่งสุดฮอต “คริส พีรวัส แสงโพธิรัตน์” ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์วาย “SOTUS The Series พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง” ในบท “อาทิตย์”
ทำให้เจ้าตัวโด่งดังไปทั่วเอเชียและมีผลงานตามมาอย่างมากมาย แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ต้องเจออุปสรรคต่างๆมากมาย วันนี้ “ดาราเดลี่” เลยจะพาไปเปิดประวัติและย้อนเส้นทางก่อนจะดังของหนุ่ม “คริส” กัน
ความฝันและชีวิตในวัยเด็ก ?
พูดถึงชีวิตและความฝัน เมื่อก่อนตอนป4. เริ่มเรียนดนตรี คุณพ่อเริ่มส่งเรียนดนตรี เมื่อก่อนคุณพ่อจับไปเรียนกีตาร์ก่อน เรียนได้ 3 เดือนผมหนี หนีเลย คือเราเป็นสยามกลกาลนะ คือห้องจะลึกมาก จะมีห้องดนตรี แล้วเราจะชอบไปเกาะที่ห้องกลอง พอเห็นแล้วรู้สึกว่า ตื่นเต้นจังเลย ทั้งๆ ที่เราเรียนกีตาร์ หายไปแบบนี้ 3 เดือน จนคุณครูไปคุยกับพ่อว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนะ แล้วคุณครูสอนกลองเราก็ถูกใจเรา เหมือนกับเห็นเด็กมาเกาะหน้ากระจกทุกวัน ครูก็เลยเรียกเรามาคุย ให้เราเคาะจังหวะนี้ให้ดูหน่อย ผมตีได้เลยในครั้งแรก ก็เลยขอคุณพ่อไปเรียนกลอง ความฝันของผมตอนเด็กก็คืออยากเป็นมือกลอง อยากเป็นนักดนตรี อยากเป็นมือกลองให้กับวงร๊อคดังๆ สักหนึ่งวงในอนคต (ยิ้ม)
ครอบครัวสนับสนุนดนตรี ตั้งแต่เด็ก !
จริงๆ คุณพ่อบังคับ คุณพ่อเป็นนักดนตรี คุณพ่อเป็นมือกีตาร์ เพราะเขาเล่นมาตั้งแต่ยังวัยรุ่น โตมาเขาเลยจับลูกๆเรียนดนตรีหมดเลย พี่ชายกับผมถูกส่งให้ไปเรียนกีตาร์ น้องถูกส่งไปเรียนเปียโน กับไวโอลิน ส่งไปเรียนทุกคนทุกแขนง แต่ส่วนตัวของผมไม่ได้ชอบ และงอแงตั้งแต่แรกแล้ว แต่คุณพ่อไม่ให้ พ่อบอกว่ากีตาร์จะเอาไปที่ไหนก็ได้ กลองไหนต้องซื้อเข้าบ้านอีก และจะไปตีที่ไหน แต่เราชอบจริงๆ อย่างเวลาที่ไปเรียนเรามีวงโยธวาธิตเราก็เห็นแล้วว่ากลองมันเท่ห์สุดๆ ผมชอบตีกลองก็เลยส่อแววตั้งแต่เด็กไปเกาะกระจก คุณครูก็เลยดึงไปเลยครับ
ถามถึงจุดเริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิง
(หัวเราะ) ผมไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อนเลย เริ่มต้น ป. 4 เหมือนกัน ผมนั่งเรียนอยู่ในห้อง แล้วก็มีผู้ปกครองของเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาทำงานเกี่ยวกับแคสติ้งพอดี ตอนนั้นเขาทำให้เมืองไทยประกันชีวิต เป็นปฎิทินตั้งโต๊ะเขามาหาเด็กไปถ่ายเป็นเพื่อนลูกเขาประดับปฏิทินข้างใน เขาก็มาชี้เอาคนนี้ๆ ในห้องเรียนเลย ผมก็นั่งทำการบ้านอยู่ เขาก็ชี้มาที่ผม ว่าเอาเด็กคนนี้ หลังจากนั้นก็ไปถ่ายปฎิทิน นั่นก็คือผลงานแรกในชีวิตของผมเลย ซึ่งตอนนี้ก็ไม่สามารถหาดูได้จากที่ไหน พอเข้ามาในวงการก็พอที่จะมีคอนแท็กคนนี้เขาก็ส่งงานให้เรื่อยๆ หลังจากนั้นก็มีแคสโฆษณามาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นอยู่ช่วง ป. 4 –ป. 5 เอง พอขึ้น ป.6 เราก็เสพดนตรีหนักมาก เราก็งอแงกับครอบครัว พอคุณพ่อจะพาไปแคส เราก็ร้องให้ ไม่ไป ไม่เอา เพราะตอนนั้นเราไม่เอางานแสดง เราเสพดนตรีอย่างเดียว
ทำไมถึงกลับเข้ามาในวงการ ?
จริงๆผมกลับมาตอนที่อยู่มหาลัย เรื่องมีอยู่ว่าเราก็ยังคงชอบงานดนตรีอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ชอบเรื่องของงานแสดงเลย ยังคงฟอร์มวงกับเพื่อนๆ ในมหาลัยอยู่ ไปประกวดตามงาน ไปแข่งตามที่ต่างๆ แล้วก็มีโมเดลิ่งคนนึง ผมอ่านหนังสืออยู่ในหอสมุดแล้วเขามาติดต่อทาบทาม ผมก็ไม่สนใจ บอกว่าเป็นภาพยนตร์ผมก็ไม่เอา แต่เขาบอกผมว่าภาพยนตร์พระเอกเป็นมือกลองนะ ก็เลยลองไปแคสดู ซึ่งปกติเวลาแคสแต่ครั้งจะต้องมี 400 คน 300 คน 200 คน แต่ครั้งนี้มี 4 คน เพราะเขาหามือกลองที่หน้าตาพอไปวัดไปวาฝีมือกลองต้องเก่ง
ฝีมือการแสดงพอได้ซึ่งผมแคสเป็นคนที่ 4 แคสคนละชั่วโมงครึ่ง ผมคนเดียวที่เขาแคสแค่ 15นาที ผมคิดว่าเขาเหนื่อยมาก เพราะแคสมาทั้งวัน ในใจก็คิดว่าเขาคงไม่เอาผมแน่ๆ แต่สุดท้ายได้ ก็เลยได้เป็นพระเอกเรื่องนั้น แต่ผลงานตอนนั้นรู้สึกจะมีปัญหานิดหน่อย สุดท้ายก็ไม่ได้ออนแอร์ ก็เลยกลับมาอีกครั้ง ซึ่งระหว่างการแสดงเรารู้สึกสนุกมากๆ ก็เลยลองเปิดใจรอบนึง ระหว่างนั้นก็มีพี่ว้ากพอดี ได้ลง #พี่ว้ากหล่อบอกต่อด้วย ก็มีงานเข้ามามากมายมีงานเข้ามาให้เราไปแคสเยอะมาก 30 ตัวจำได้เลย ไม่ผ่านสักตัว หนึ่งในนั้นมีโซตัส เดอะซีรีส์ 1 เรื่อง ผ่านโซตัสครับผม (หัวเราะ) อันนี้คือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ซึ่งก็ทำให้เรื่องนี้แจ้งเกิดกัยตัวเราเอง! ดีใจมากๆเพราะเราท้อไปแล้วคือโซตัวมันคือผลงานสุดท้ายแล้วที่แคส
คือเราแคสมา 29 ตัวแล้วบางครั้งก็เข้ารอบบ้าง โดนลูกค้า กากบาททิ้งตลอด พอเราแคสโซตัส เดอะซีรีส์ผ่าน เราก็ดีใจแล้ว อีกอย่างเรากำลังจะมีซีรีส์เล่น ไม่ใช่แค่โฆษณาแล้ว ตอรแรกก็ใจฝ่อนิดๆ เพราะเป็นซีรส์ชาย-ชาย เราไม่เข้าใจ ไม่เคยรู้วงการวายมาก่อนเลย เพื่อนๆ ก็พูดกันว่าเราจะไปเล่นหนังชายรักชายหรอ เราก็เครียด ซึ่งตอนนั้นก็เป็นว้ากอยู่ ต้องรักษามาดในมหาวิทยาลัยด้วย แล้วจริงๆ พี่ “สิงโต” ก็โกรธผมด้วยนะที่ผมไปแคสโซตัส เพราะเขาเป็นคนคุมว้าก เขาจะไม่อนุญาตให้พี่ว้ากทำอะไรที่หลุดฟอร์มพี่ว้ากไปได้ ผมก็ไม่สนนะครับ ผมเอาตังค์ก่อนตอนนั้น (หัวเราะ) ก็เลยหาอนาคตก่อน ก็เลยไปเจอพี่ “สิงโต” ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ก็เรียกว่าพลิกชีวิตผมเลย
มีไอดอลในวงการบันเทิงไหม?
มีเยอะมาก มีหลายประเภทอย่างตลกก็จะชอบ “แดน วรเวช” กับ "พี่แจ๊ส ชวนชื่น" แล้วก็ “พี่โหน่ง ชะชะช่า” ส่วนการแสดงละครแนวดราม่าร้องให้ให้ผมให้พี่ “พุฒ พุฒิชัย” และพี่ “เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา” ละครเรื่อง “เพื่อเธอ” สนุกมาก
สิ่งที่อยากจะทำแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ?
คือการเต้น ตอนนี้กำลังหาเวลาไปเรียนเต้นเพิ่ม สมมติถ้ามีซิงเกิ้ลออกมาอีก ก็อยากให้เป็นจังหวะเร็วบ้าง ที่มีท่าเต้นแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกาหลีนะ เพราะผมเต้นไปเป็น แบบนั้นมันยากมากจริงๆ แบบนั้นคงเท่มากถ้าทำได้จริงๆ แต่ก็หาแนวตัวเองก่อน ก็อยากทั้งร้อง เต้น เล่น ดนตรีได้
วิธีรีบมือกับกับข่าวดราม่า
อันดับแรกเราต้องทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร เพราะอะไรถึงเกิดเหตุการณ์นี้ จริงๆเราอยู่กับพี่สิงโต ก็ใช่ว่าจะไม่เจอดราม่านะ บางทีก็มีแฟนคลับทะเลาะกันบ้าง เราต้องหาวิธีผ่านมันไปให้ได้โดยทุกอย่างจะต้องลงตัวให้มากที่สุด ก็ต้องวิเคราะห์ก่อนเลยว่าแฟนคลับทะเลาะกันเพราะอะไร รักคนนี้มาก รักคนนี้น้อย ในเมื่อเราสองคนรักกัน ไม่ทะเลาะกันแล้วคุณจะทะกันทำไม ยังไงแฟนคลับของสิงโตก็คือของคริส แฟนคลับของคริสก็คือสิงโตนะ พวกเราคือทีมทุกอย่างก็จบ เพราะฉะนั้นต้องดูว่า ปัญหาที่เข้าต้องดูก่อนว่าเกิดจากอะไร ถ้าเกิดจกาเราก็ต้องขอโทษ ถ้ามีความเข้าใจผิดเราต้องเข้าไปคลี่คลาย อย่าอยู่เฉยๆ
สุดท้ายฝากขอบคุณแฟนคลับที่ติตตามผลงาน
ขอบคุณแฟนคลับในทุกๆเรื่อง เพราะชีวิตของ “คริส” มาอยู่ทุกวันนี้ได้ มันเหมือนความฝันนะ เราไม่เคยมีใครมาตามไม่เคยมีใครมาเอาใจใส่ ไม่มีใครมาดูแลแบบนี้ ยกเว้นแค่พ่อแม่ แต่เขาเป็นใครก็ไม่รู้ และก็มาให้ความสำคัญกับเรามาก รักเราเหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนน้องแบบนี้ เพราะฉะนั้นก็ขอบคุณ ที่รัก “คริส” เหมือนคนในครอบครัว อยากบอกว่าก็รัก “คริส” เหมือนคนในครอบครัวเหมือนกัน จะพยายามทำลายล้างความรู้สึกแฟนคลับกับศิลปินให้ได้ เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันให้ได้ครับ