"ดีเจอ้อย" แชร์มุมมองกรณีของ "กัปตัน-มิ้ง"
จากกรณีของอดีตคู่รักอย่าง "กัปตัน ชลธร คงยิ่งยง" และสาว "มิ้ง ศวภัทร" ทำให้เกิดประเด็นร้อนในตอนนี้ เมื่อล่าสุดสาว "มิ้ง" เองออกมาเผยผ่านไอจีว่าความจริงแล้วตนแท้งลูกไปเมื่อ 27 มิถุนายน แต่ไม่กล้าออกมาบอก ทำให้เกิดกระแสโจมตีอย่างต่อเนื่อง งานนี้กูรูเรื่องความรักอย่าง "ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล" ก็ได้ออกมาแชร์มุมมองสำหรับเรื่องราวในครั้งนี้ว่า
คิดว่ามันเป็นกระแสสังคมตั้งแต่ตอนแถลงข่าวอยู่แล้ว แต่ในมุมของเราที่ฟังคลับฟรายเดย์มาเยอะ มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ พอวันนี้เกิดขึ้นกับคนที่เป็นที่รู้จัก สิ่งที่มันช่วยกันโหมก็คือโซเชียล มันเลยเป็นประเด็นที่จากตอนแรกๆ จะเป็นเรื่องเล็กมันก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่ ถามว่าจะไปแสดงความคิดเห็นอะไร ตอนนี้สังคมก็คงจะแสดงความคิดเห็นและตัดสินกันเรียบร้อยแล้ว มันก็เป็นบทเรียนสอนชีวิตได้อย่างหนึ่งเหมือนกัน โดยเฉพาะบ้านใดก็ตามที่มีทั้งลูกสาวและลูกชายที่อยู่ในวัยนี้
เราคงได้เห็นแล้วว่าวันนี้สังคมมีตำราเล่มใหญ่เยอะมาก คุณพ่อคุณแม่ควรจะฉกฉวยใช้โอกาสนี้สอนลูกๆ ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แน่นอนการที่มีอะไรก่อนวัยอันควรแต่ก่อนเรามักจะมีคำพูดแบบว่าทำไมเป็นความเชื่อโบราณจังเลย แต่วันนี้ความเชื่อโบราณเหล่านั้นทำให้เราเห็นว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในวันนี้ และอีกอันหนึ่งการอยู่กับโซเชียลเยอะๆ ต้องสติเยอะๆ มันไม่สามารถเป็นการล้อเล่นได้อีกแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าก็แค่นิดเดียวเอง แต่วันนี้โซเชียลและชาวเน็ตมีอุปกรณ์การสื่อสารอยู่กับตัว และอุปกรณ์การสืบค้นอย่างค่อนข้างลึกล้ำมาก บางทีลึกล้ำเกินกว่าเจ้าตัวเองจะรู้ด้วยซ้ำว่าทำไมรู้ไปหมดเลย
ในฐานะที่เป็นคนบริโภคข่าวสารก็ใช้วิจารณญาณเยอะๆ หรือใครก็ตามที่ยังอยู่ในวัยนี้ต้องใช้สติมากกว่าหลายๆ เท่า มีความรักไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่าทำผิดเพราะมันเป็นเรื่องของความรัก แล้วมาบอกว่าที่เราผิดเพราะว่าก็รักนะคะ วันนี้เราเห็นภาพของการไม่รักตัวเองเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว การที่เราทำอะไรด้วยความผลีผลาม หุนหันพลันแล่น ไม่ค่อยรักตัวเองเท่าไหร่ และคิดอะไรน้อยไปนิดนึง นี่คือผลเสียที่เกิดขึ้นตามมา
สมมติเป็นเรื่องคนทั่วไปที่โทรมาเล่าในรายการจะแนะนำยังไง ก็จะบอกเขาเลยว่ามันปัญหาที่ต้องคุยกับตัวเองให้จบก่อน พอเราไม่คุยกับตัวเองให้จบว่าเราตกลงกับเรื่องนี้ยังไง แล้วเราเริ่มไปคุยกับคนอื่น และเอาเรื่องส่วนเรามาเป็นเรื่องส่วนรวม คราวนี้ปัญหาที่เราคิดว่ามันจะเล็กมันจะใหญ่ขึ้น เรามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าอะไรก็ตามคิดอะไรไม่ออกให้บอกความจริง ไม่รู้จะทำอะไร ทำอะไรไม่ถูก ให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องก่อน ความถูกต้องอย่างน้อยมันจะทำร้ายเราน้อยกว่า ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มมีความไม่จริงเกิดขึ้น เราจะเหนื่อยกับการพูดไม่จริงไปอีกร้อยกว่าครั้ง เพราะว่าเพื่อปกปิดความไม่จริงอันแรกแล้วมันจะเหนื่อยมาก
ตัวเราเองก็ยังไม่อยากตัดสินว่าเหตุผลของน้องคืออะไร เพราะเรายังเชื่อและเคารพอย่างหนึ่งว่าทุกคนมีเหตุผลส่วนตัว คนทุกคนมีวิธีการเลือก ณ ช่วงเวลานั้นๆ เพียงแต่วิธีการเลือกนั้นต้องไม่ทำร้ายใครนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตของมนุษย์ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าเรามีเหตุผลส่วนตัวแต่เหตุผลอันนั้นทำร้ายคนนั้นคนนี้ วันหนึ่งมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ตอนนี้คิดว่าไม่มีใครสามารถทำร้ายชีวิตใครได้นะ เรายอมรับจุดนี้ก่อน ถ้าบังเอิญว่าเขาไม่มีภาวะเสี่ยงจะไม่มีใครสามารถปั้นเรื่องมาจ้วงเราได้ อย่างที่หลายคนเห็นในโซเชียลเรื่องที่จริงที่สุดคือน้องก็เคยคบหากันจริงๆ นั่นแหละอันนั้นคือเรื่องที่จริงที่สุด เพราะฉะนั้นเรายังไม่เชื่อว่าใครจะสามารถทำร้ายชีวิตใครได้ เราเชื่อว่าปากของใครก็ทำให้เราเป็นอย่างที่เราไม่ได้เป็นไม่ได้
ถ้าถามว่าวันนี้จะหาทางออกในเรื่องนี้อย่างไร คิดว่าในที่สุดน้องคงต้องนิ่ง ในส่วนหนึ่งด้วยวัยของน้องเองด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่มีพายุพัดซ้ายพัดขวาอยู่แล้วพอเราไม่นิ่งพอ ยิ่งออกมาพูดกับคนเยอะๆ จะยิ่งสร้างปัญหามัดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเรื่องมันจะไม่จบ ในวันนี้น้องยังเป็นเยาวชน น้องยังต้องมีอนาคตที่ยาวไกลกว่านี้ น้องมีพ่อแม่ มีหัวใจของพ่อแม่ซึ่งน้องต้องแบกไว้ ไม่แน่คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือคนที่รักน้องที่สุด เรารู้สึกว่าก็นิ่งเถอะ แล้วให้เวลามันเดินทางของมันต่อไป เราไม่ได้บอกว่าเวลาทำให้คนลืม แต่เวลาทำให้น้องมีสติมากขึ้นว่าในที่สุดแล้วน้องจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง เพราะวันนี้เราผูกมันจนแน่นจนมันไม่สามารถเคลียร์ได้ในวันเดียวแล้ว
การไม่พูดความจริงตั้งแต่ต้นทุกคนมีเรื่องโกหกวันละเรื่องอย่างต่ำ เช่นบางคนถามว่าเป็นไรหรือเปล่า เราบอกไม่เป็นไร แต่ที่จริงมันอาจจะไม่โอเคก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรื่องโกหกนั้นไม่ทำร้ายใคร เราว่ามันก็จบที่เรา เริ่มที่เราจบที่เรา เราจะรู้ว่าหลอกคนอื่นได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มพูดในสิ่งที่มันเริ่มไปกันใหญ่ เริ่มไม่จริง เริ่มไปกระทบคนอื่น ทำร้ายคนนั้นคนนี้ แล้ววันหนึ่งมันจะเห็นผลของสิ่งนั้นทันที
หลายคนมองว่าสื่อไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจริงๆ เคยพูดแทนสื่อหลายๆ คนเสมอ เพราะว่าเราจะแอบคิดแทนเวลามีข่าวอะไรเกี่ยวกับน้องๆ สื่อมวลชน ทุกคนต้องการข่าว แต่บางทีการละเมิดไม่ละเมิด เขาก็มีสิทธิ์ในการปกป้องเขาเช่นกัน เช่น น้องเอาไมค์มาจ่อแล้วเราบอกว่าขออนุญาตไม่ให้สัมภาษณ์นะคะ ทุกคนก็สามารถปกป้องในสิทธิ์ของตัวเองได้เช่นกัน แต่คราวนี้อย่างที่บอกทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าบางครั้งหน้าที่มันอาจจะไปกระทบกันบ้าง การปกป้องสิทธิ์ก็ต้องเป็นสิทธิ์ของน้อง เช่น น้องไม่อยากคุย น้องไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ในตอนนี้ น้องก็สามารถปฏิเสธได้ เพราะในวันนี้ต่อให้น้องไม่ให้ข่าว ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวมันกำลังตามไปสืบไปค้น ตอนนี้ทุกอย่างมันกำลังร้อน แล้วยิ่งออกมาพูด ใส่เชื้อไฟลงไปเรื่อยๆ มันตีฟู ถามว่าย้อนกลับไปเรื่องนี้คืออะไร เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน คนหนึ่งจะจบ คนหนึ่งไม่ยอมจบ แล้วมันก็เริ่มไปเรื่อย ๆมีสิ่งนั้นสิ่งนี้มากดดันกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องส่วนรวม แล้วเรารับมือไม่ไหว มันจะใหญ่เกินจริงไปมาก
คุณพ่อคุณแม่เอาเรื่องนี้สอนลูกที่บ้านว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความรักได้ไม่ผิดเลย แต่ถ้ามีความรักแล้วรีบร้อน ร้อนรน ใช้เวลากับความสัมพันธ์น้อยไป ใช้เวลาในการคิดไตร่ตรองน้อยไป นี่คือผลเสียที่เกิดขึ้น เราไม่ต้องลงไปเจ็บเอง มีภาพให้เราได้เห็นแล้ว สังคมได้เห็นว่าทำแบบนี้มันโอเคหรือไม่โอเคยังไง เราเห็นพิษภัย เห็นผลของมันแล้วจริงๆ