2 ผู้บริหารนาดาว เผยเหตุอยากให้กรณี “กัปตัน-มิ้ง” เป็นบทเรียนของวัยรุ่น

2 ผู้บริหารนาดาว เผยเหตุอยากให้กรณี “กัปตัน-มิ้ง” เป็นบทเรียนของวัยรุ่น

      แม้จะมีการไกล่เกลี่ยจบลงด้วยดีไปแล้ว สำหรับกรณีที่ “กัปตัน ชลธร คงยิ่งยง” ถูก “มิ้ง ศวภัทร สุนทรนันท์” อ้างตั้งท้องและแท้งในที่สุดตามที่ทราบกันไปแล้ว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทาง 2 ผู้บริหารค่ายนาดาวอย่าง “พี่บอมบ์ จงจิตต์ อินทุ่ง” และ “พี่ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์” ก็อยากจะให้เป็นบทเรียนการใช้ชีวิตของวัยรุ่น โดยทั้งคู่ได้ออกมาเผยถึงเหตุผลพร้อมเล่าสิ่งที่ได้รับรู้ว่า 

      “พี่บอมบ์” ปกติก็เป็นขั้นตอนของศาลตอนยื่นฟ้องไปแต่มีการนัดไกล่เกลี่ย ช่วงตอนมีเรื่องทางค่ายก็อยากจะตรวจสอบ แต่พอมาตอนนี้ก็ไม่อยากจะพูดอะไร เพราะทุกอย่างคลี่คลายแล้วปล่อยให้เป็นเรื่องอนาคตของคนสองคนว่าเขาจะเอายังไงกันแต่อยากให้เป็นบทเรียน

       “พี่ย้ง” ก็กระทบกระเทือนจิตใจน้อง “กัปตัน” เพราะเป็นน้องที่ทุกคนรักตนช่วงเกิดเรื่องตนก็ออกกองและมีเวลาติดตามเรื่องนี้น้อยมาก แต่ทาง “พี่บอมบ์” ก็จะคอยอัพเดทให้ทราบก็พอรู้มาบ้าง แต่ไม่รู้ความจริงเป็นยังไงก็พยายามฟังทั้ง 2 ฝ่าย และหาเวลาพิสูจน์ความจริง แต่พอเหตุการณ์มาถึงในจุดลำบากก็อยากให้พ่อแม่น้องจัดการ และตัว “กัปตัน” เป็นคนตัดสินใจเองทางตนคอยซัพพอร์ตให้กำลังใจ ซึ่งเวลาไปกองเห็นเขาเศร้า เพราะเวลาทำงานเขาจะเต็มที่ตลอดไม่อยากให้อยู่ในสภาวะแบบนั้น และรู้สึกดีที่เหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี เรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนให้น้องๆ วัยรุ่นทุกคนให้ใช้ชีวิตแบบมีสติและรักตัวเองให้มาก ตอน “กัปตัน” ฟ้องก็มาปรึกษาและมีแจ้งให้ทราบตลอด

      “พี่บอมบ์” ก็รับรู้ทุกอย่างได้ฟังรายละเอียดขั้นตอนทั้งหมดแต่ทุกอย่างอยู่ที่ครอบครัวที่จะจัดการ ส่วนเรื่องที่โดนโจมตีทำซีรีส์สอนวัยรุ่นแต่เด็กในสังกัดเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะสอนใครแค่อยากเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้คนดูก็อยู่ที่เขาจะมีวิจารณญาณในการรับชมยังไง มองเหตุการณ์นี้ดี เพราะทำให้หลายคนโตขึ้นจากการเรียนรู้ผ่านเรื่องนี้การใช้ชีวิตต้องมีสติต้องระมัดระวังถึงแม้จะเป็นเรื่องไม่ดีไม่เหมาะสมก็ตาม และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก ขำๆ ยังไม่รับปากว่าจะไม่เกิดขึ้นกับนักแสดงในสังกัดอีก จริงๆ มีกฎเข้มงวดมากแต่อย่างที่รู้วัยรุ่นจะมีฮอร์โมนพลุ่งพล่านทำให้ขาดสติยับยั้งไปบ้างเวลาสอนน้องๆ ก็จะบอกว่าอย่าไปเจอเหตุการณ์กับตัวเองก่อนที่จะเรียนรู้ควรเรียนรู้ก่อนจะเจอ ซึ่งไม่ใช่แค่นักแสดงในสังกัดก็อยากให้วัยรุ่นทุกคนมีเคสนี้เป็นบทเรียนในชีวิต รับเรื่องที่เกิดขึ้นกระทบภาพลักษณ์บริษัท แต่พอได้ทราบความจริงก็น่าจะเข้าใจมากขึ้น ซึ่งตนในฐานะที่ดูแลน้องๆ ในสังกัดรู้สึกวางตัวยากมาก แต่พอมาถึงวันนี้รู้สึกดีใจกับ “กัปตัน” ครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะได้เห็นช่วงเวลาที่เขาแย่มากๆ และตอนนี้อยากให้เขาโฟกัสกับงานทำให้เต็มที่ โดยการห้ามน้องๆ ไม่ให้ทำโน่นนี่ไม่คิดว่าจะช่วยอะไรได้ การอธิบายในการใช้ชีวิตว่าต้องระวังยังไงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า ถ้าเขาใช้ชีวิตเสี่ยงก็ต้องพร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าเขาฉลาดพอคงไม่อยากเจอปัญหาอยู่แล้ว

      สำหรับเรื่องที่ “นน ชานน สันตินธรกุล” ไม่ต่อสัญญาก็ปกตินักแสดงในสังกัดก่อนหมดสัญญาจะมีการชวนคุณพ่อคุณแม่และตัวน้องมาคุยก่อน เพราะในสัญญาถ้าไม่พูดคุยก็จะถูกต่อโดยอัตโนมัติ แต่ช่วงคุยน้องทำงานที่เมืองจีนทำให้ยังไม่มีการคุยทำให้เลยสัญญาไป ทางคุณพ่อได้มีการทำจดหมายว่าอาจจะไม่ต่อสัญญาก็รู้และแจ้งให้ผู้บริหารทุกคนทราบ และได้มีการโทรถามเหตุผลว่าดูแลน้องบกพร่องยังไงบ้าง เพื่อจะได้นำมาพัฒนากับตัวเอง ก็มีการพูดคุยกันทำให้เข้าใจทุกคนว่าทำไมไม่เลือกต่อสัญญา

      “พี่บอมบ์” ก็ได้คุยคร่าวๆ อย่างที่น้องให้สัมภาษณ์ไปน้องเขาก็อยากออกไปดูแลตัวเอง แต่ในอนาคตเดี๋ยวจะมาระบุกันว่าจะเป็นยังไง  

      “พี่ย้ง” ก็ไม่ได้เสียดายที่น้องกำลังมาแต่เสียดายที่น้องเป็นนักแสดงที่อยากทำงานด้วย น้องนักแสดงทุกคนที่เลือกเข้ามาก็คาดหวังจะทำงานด้วยในอนาคต น้องเป็นนักแสดงที่ผู้กำกับในค่ายอยากร่วมงานด้วยโดยไม่ใช่เป็นปัญหา เพราะน้องสามารถกลับมาทำงานได้เท่าที่รู้ที่ไม่ต่อสัญญาในวันนี้คุณพ่อน้องมองระบบการทำงานในค่ายล่าช้าเลยทำให้การทำงานไม่ราบรื่น ที่เปิดค่ายมา 8-9 ปีจะโฟกัสการพัฒนาศิลปินให้เก่งเลยลืมจะพัฒนาระบบและตัวเองให้เก่งเท่าน้อง พอวันหนึ่งเขาเก่งขึ้นมาพัฒนาไปไกลกว่าอาจจะเป็นตัวถ่วงเขา และได้มีการประชุมคุยกันต้องเรียนรู้จากเคสนี้ต้องคุยเพื่อให้น้องกลับมาอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำตัวให้เก่งขึ้นจากการที่น้องไม่เซ็นสัญญาต่อให้ได้