​​​​​​​"ท็อป-ดุ๊ก" บอกต่อเรื่องราวประทับใจของ "โอ วรุฒ" ก่อนจากไปไม่หวนกลับ

"ท็อป-ดุ๊ก" บอกต่อเรื่องราวประทับใจของ "โอ วรุฒ" ก่อนจากไปไม่หวนกลับ

           เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมากสำหรับหลายๆ คนทั้งแฟนคลับและพี่น้องในวงการบันเทิง ที่ "โอ วรุฒ วรธรรม" ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยวัยเพียง 49 ปี รวมไปถึงสองนักแสดงในรุ่นใหญ่ที่เติบโตมาในวงการพร้อมๆ กัน อย่าง "ท็อป ดารณีนุช ปสุตนาวิน" และ "ดุ๊ก ภาณุเดช วัฒนสุชาติ" ซึ่งทั้งสองคนได้พูดถึงเรื่องราวของ "โอ วรุฒ" ว่า

           เขาเป็นพระเอกในยุคเรา เวลาเจอกันก็เหมือนพี่เหมือนน้อง เขาเป็นน้องที่น่ารัก ทุกคนรักโอมาก สิ่งหนึ่งที่อยากพูดคือ อยากขอบคุณโน่แทนโอ โน่สนิทกับโอมากแล้วก็ดูแลจนถึงที่สุด นับถือน้ำใจโน่มาก เป็นกัลยาณมิตรที่ดีรวมทั้งถ้าโน่จะทำอะไรที่จะช่วยเหลือโอได้ก็ขอให้บอกมา โอมีพลังความเป็นเด็กสูงมาก เราสามารถชาร์จพลังจากโอได้ ไม่เคยเห็นใครใจใสเหมือนโอ เขาไม่เคยนินทาใคร ไม่เคยว่าใคร เขามีความเป็นเด็กสูงมาก เวลามาสายไม่เคยมีใครว่าโอ มีแต่โอจะทำให้คนอารมณ์ดี เขาไม่คิดอะไรเยอะ บางส่วนก็ตอบแทนเขากลับมาในทางบวก บางส่วนเขาโดนโกงบ้าง ก็เป็นชะตากรรมของเขา แม้ว่าโอจะเจอชะตากรรมที่ตกต่ำที่สุดโอจะทุกข์อยู่กับตัวเอง กินเหล้าทำลายตัวเอง พอวันหนึ่งลุกขึ้นมาบอกพอแล้ว มันอาจจะเป็นบทเรียนที่ดีให้ใครหลายคนว่ามันสายเกินไป แต่สิ่งที่โอทำทั้งหมดทุกคนก็ให้อภัยและรัก 

           ตั้งแต่โอเสียก็ดูคลิปดูรายการของโอทุกวัน เพราะคิดถึง ในแง่พิธีกรของโอก็สุดยอดมาก มืออาชีพ เขาให้เกียรติคนทำงานด้วยกันในลักษณะที่ไม่เคยขโมยซีน และไม่เรื่องมาก ตอนเขามาสายเคยนึกโกรธเขา แต่เขาไม่เคยบังคับให้เราไปเข้าใจธรรมชาติของเขา แต่เราดันเปิดใจรับ โอจะขอโทษแล้วทำให้ทุกคนรู้สึกดี มีผู้ใหญ่เคยด่าเขาเรื่องมาสายเขาก็นั่งก้มหน้าเหมือนเด็ก แต่ทั้งหมดนั้นทุกคนรักเขาหมด เขามีความเป็นมนุษย์ทุกด้าน ด้านมืด คือขยันกินเหล้าเลยอาจทำให้เขามาช้า หรือทำลายสุขภาพเขา แต่มุมสว่างเป็นมุมที่กลบมืดเขาไป เลยทำให้ทุกคนรับได้และเอ็นดูเขา แต่มันก็เป็นบทเรียน วันที่เขาจะกลับตัวแล้วเวลามันไม่พอ คนเราเวลาติดอะไรที่มันทำร้ายตัวเราแล้วเราไม่รู้ตัว อารมณ์ตรงนั้นที่ทำให้เราหันมามองตัวเองว่าต้องตั้งนาฬิกาชีวิตใหม่ 

           ช่วงชีวิตเขาพังได้คุยกับเขา เจอกันก่อนที่เขาจะเบี้ยวละครตั๊ก บอกเราว่าตอนนี้ไม่มีงานเลย เลยไปคุยกับพี่สุข ปรากฏว่าก็ไปเบี้ยวคิวเขา เราเลยไม่กล้าแนะนำใครอีก เรื่องนั้นมันก็จบไปแล้ว จบไปพร้อมกับชีวิตของโอ แต่มองในมุมที่เขาให้คุณค่ากับเราดีกว่า คุณพ่อคุณแม่เราได้โทรไปคุยกับฝั่งของโอ ก็เป็นห่วง เพราะเขาก็เป็นที่พึ่งของทุกคน พี่โน่เขาคงจะทำอะไรที่พวกเราจะมีโอกาสได้ช่วยกัน เชื่อว่าพี่โน่จะดูแลและทำหน้าที่พี่ชายที่ดีของโอต่อไป ถ้ามีอะไรที่จะช่วยได้ทุกคนก็จะช่วยเต็มที่ อย่างน้อยที่สุดการจากไปของโอก็มีคุณค่า เพราะโอได้สอนบทเรียนให้รู้ว่า เราควรแก้ไขข้อบกพร่องอะไรในชีวิตให้ทันท่วงทีและทันเวลา