"ชิน ชินวุฒ" ควงคุณแม่โชว์สเต็ปแดนซ์ ตอบชัดอาการบาดเจ็บส่งผลไหม
มีโอกาสได้ควงคุณแม่ "เอเลน อินทรคูสิน" มาร่วมโชว์สเต็ปแดนซ์ในรายการ "Dance Dance Dance Thailand" เลยทำให้อยากรู้อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้จะส่งผลกระทบอะไรบ้างหรือเปล่า สำหรับ "ชิน ชินวุฒ อินทรคูสิน" ล่าสุดทั้งคู่ก็ได้จูงมือกันออกมาเผยว่า
"ชิน" ก็ตื่นเต้นแทนคุณแม่ การเต้นเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่ทางคุณแม่น่าจะไม่ได้เต้นมากว่า 30 ปีแล้ว
"คุณแม่เอเลน" ก็ตื่นเต้นและสนุกมาก ต้องฟิตซ้อมบ่อย และมีปัญหาปวดหลังนิดนึง แต่ปกติได้มีการออกกำลังกายเล่นโยคะอยู่แล้ว โดยตอนแรกๆ รู้สึกยากๆ มาก กดดัน เพราะ ลูกชายเขาเต้นเก่ง แต่พยายามทำให้ได้ ก็มีความสุข
"ชิน" ก็มีคุณแม่ที่แซ่บมากคนนึง และไม่เคยเห็นท่านในลุคนี้ แต่ก็ยังทำให้เห็นว่าเรายังมีคุณแม่ที่ยังสวย และเรื่องการโชว์เต้นทำให้รู้ว่าเราเป็นลูกของใคร ทุกคนจะรู้ว่านี่คือคุณแม่ของ "ชิน ชินวุฒ"
"คุณแม่เอเลน" ลูกชายจะเป็นฝ่ายแนะนำการเต้นให้บ้าง แต่เขาก็บอกให้ปล่อย ไม่ต้องคิดมาก เพราะส่วนมากเราจะบล็อกอยู่กับตัวเองและท่าเกินไป ทำให้เต้นต่อไม่ได้ ต้องฟังเพลงเยอะๆ เดี๋ยวจะเต้นได้เอง
"ชิน" รายการนี้แข่งเต้นก็จริง แต่ไม่ได้เหมือนต้องมาแข่งกัน เหมือนเอาคนที่สนิท เป็นพี่น้องในวงการมาร่วมสนุก ได้มาโชว์ความสามารถของตัวเอง บางคนไม่เคยเต้นก็ได้มาเต้น ทำให้ใครหลายคนเห็นว่าคนที่ไม่เคยเต้นเลยก็สามารถเต้นได้ถ้าตั้งใจจริงๆ ส่วนการแข่งขันก็เป็นสิทธิ์ของกรรมการที่จะตัดสิน โดยเบื้องต้นจะสนุก และทุกคู่จะเชียร์ให้กำลังใจกัน มีทั้งร้องไห้ ยิ้ม หัวเราะ ไปด้วยกัน เราก็มีหน้าที่ต้องทำให้ดีที่สุด รับเป็นการแข่งกับตัวเองมากกว่า
ส่วนเรื่องที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ขาขวาทะลุประตูกระจก เย็บร้อยกว่าเข็ม เพิ่งมาปวดเพลงที่มาเต้นกับคุณแม่ ตอนนี้หายได้ประมาณ 80% แล้ว ขาขวายังไม่ดีเท่ากับขาซ้าย ก็ฝืนๆ หน่อย เวลาทำอะไรจะมีปวดและเจ็บบ้าง แต่เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด
เผยมีผลกระทบกับการเต้น เพราะถ้าหาย 100% จะทำได้ดีกว่านี้ แต่เข้าใจร่างกายไปสุดได้แค่นี้ โชคดีที่ช่วงนี้มีคอนเสิร์ต มีงานบ่อย ทำให้ได้ซ้อม และปกติออกกำลังกายอยู่แล้ว เลยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ช่วยให้ขาแข็งแรงไปด้วย
"คุณแม่เอเลน" เรื่องเต้นก็รู้ว่าเขาทำได้ ไม่ต้องซ้อมเยอะ แต่เป็นทางคุณแม่จะซ้อมเยอะ ก็จะฟังเพลงเยอะด้วย ซึ่ง "ชิน" เผยทิ้งท้ายว่า การซ้อมร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่จะฟังเพลงไปด้วยเป็นวิธีที่ใช้ได้กับทุกเรื่อง เพราะมีงานวิจัยออกมาโดยการนำวิธีของนักเทนนิส 2 คนมาแข่งกัน ที่คนหนึ่งจะซ้อมด้วยการดู คิดจินตนาการในการตี อีกคนหนึ่งซ้อมจริงๆ แต่พอตอนมาแข่งขันกันจะสูสีกันมาก เราก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน ก็เอามาปรับใช้กัน