เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “โหน ธนากร” หนุ่มหล่อมากฝีมือ
แจ้งเกิดเป็นพระเอกดาวรุ่งที่น่าจับตามองอีกหนึ่งคนของวงการบันเทิง สำหรับนักแสดงหนุ่มหล่ออารมณ์ดี “โหน ธนากร ศรีบรรจง” ล่าสุดกับละครรีเมคเรื่อง “ชะชะช่า ท้ารัก” เรียกว่าตอนนี้กระแสตอบรับดีมากๆ วันนี้ “ดาราเดลี่” เลยจะพาไปเปิดประวัติ พร้อมย้อนเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของหนุ่ม “โหน” กัน
พูดถึงชีวิตในวัยเด็กเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ เป็นคนปากน้ำหรือว่าแถวนั้นคนจะรู้จักดีในนามช้างสามเศียร คุณพ่อคุณแม่เป็นคนบางนา เป็นคนกรุงเทพมหานคร แต่ว่าย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่สมุทรปราการ ก็เลยกลายเป็นคนสมุทรปราการ ตอนเด็กๆ ก็เล่นดีดลูกแก้ว ปาดินน้ำมัน ตอนเด็กๆ จะเป็นตัวแถมในหมู่บ้าน คือจะมีรุ่นพี่เราก็จะเป็นเหมือนรุ่นน้องคนเดียว เวลาจะไปเล่นกับพี่ๆ เขาก็ไม่อยากให้เล่นด้วยเพราะเราเด็กอยู่ เวลาเล่นวิ่งไล่จับเราก็จะวิ่งไม่ทัน จนล้มหน้าแถกับพื้นเป็นรอยแดงจนหาย ก็เลยผันตัวเองมาเล่นดนตรี เป็นเด็กเล่นดนตรี
จำได้เลยว่างานของโรงเรียนเมื่อก่อน แต่ละห้องจะมีโชว์ทุกวันศุกร์ เราก็เลยเอากีตาร์โชว์ แต่ตอนนั้นเราเล่นกีตาร์ไม่เป็นนะ แต่บอกว่าผมเล่นกีตาร์ได้ ก็ไปฝึกฝน หลังจากนั้นก็เล่นดนตรีมาตลอด
ความฝันตอนนั้นคืออยากเล่นดนตรี แต่ไม่อยากเล่นเป็นอาชีพ จะเล่นที่ไหนก็ได้ คือเมื่อก่อนเวลาเราไปเดินห้างฯ จะเจอพี่ๆ ที่เขาเปิดหมวก เปิดกล่องกีตาร์ สะพายกีตาร์ ทำไมดูเท่จัง เราก็เลยอยากเป็นแบบนี้ ก็เลยเป็นความฝันในวัยเด็ก
เส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงเริ่มต้นจากการประกวดในรายการ The Comedian Thailand Season 1 ซึ่งเป็นเส้นทางแรกที่ทำให้เราเข้าสู่วงการบันเทิงเลย ตอนนั้นก็ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2 มา เป็นรายการเรียลลิตี้ที่ออกอากาศทางช่อง 7 อยู่ในบ้าน โหวตออกทีละคนๆ ซึ่งเป็นรายการที่สนุก ครั้งแรกที่มาประกวดเชื่อไหมว่าเราคิดเลยว่ายังไงก็ไม่ได้หรอก เพราะมีคนที่สนุกและตลก มีความสามารถมากกว่าเราอยู่แล้ว เพราะเราแค่เป็นเด็กที่ชอบเล่นดนตรี ชอบเล่นตลกเฉยๆ เล่นกับเพื่อนๆ ก็ขำพอไปประกวดได้เข้าบ้าน 20 คน ก็คิดว่าไม่ใช่เล่นๆ แล้วนะ ซึ่งเราเข้าไปในบ้านก็ไม่รู้หรอกว่ากระแสข้างนอกเป็นยังไง อยู่ในบ้านเราไม่รู้อะไรเลย ได้โจทย์มาก็ฝึกอย่างเดียว ซึ่งเราไม่คาดหวังอยู่แล้วว่าเราต้องได้ที่หนึ่ง แค่คิดว่าเราจะต้องวางตัวยังไง จะใช้ชีวิตยังไงมากกว่า
ต้องขอย้อนกลับไปหน่อยว่า รายการนี้ไม่ใช่เพียงแค่เฟ้นหาแค่ตลกอย่างเดียว แต่เขาเฟ้นหาคนที่มีความสามารถ เก่งในทุกด้านรวมกัน บางคนเก่งดนตรีก็มาสมัคร บางคนเก่งตลกก็มาสมัคร เก่งร้องเพลงก็มาสมัคร ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสให้กับเราไปได้ ตอนที่อยู่ในบ้านกดดันมาก ทั้งเรียนร้อง เรียนเต้น เรียนแอ็คติ้ง ทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น ซึ่งเวลาซ้อมจะน้อยมาก ถ่ายทอดสดก็จะพลาดไม่ได้
ส่วนตัวเราไม่ได้คิดว่าจะโด่งดังมาถึงทุกวันนี้ ไม่เคยคิดไกลขนาดนี้ว่าจะต้องได้มาเล่นละคร ได้บทพระเอก คิดว่าได้มาเซ็นสัญญาแต่ก็คงได้เล่นละคร จะเล่นเป็นตัวละครไหนก็ได้ เหมือนเป็นอาชีพนักแสดง จนได้โอกาสดีๆ มากมาย
ผลงานที่ประทับใจคือเรื่อง “แหวนปราบมาร” ของ "พี่เติ้ล ตะวัน" ค่าย มงคลการละคร เรื่องนี้เล่นเป็นฮีโร่ เป็นละครตอนเช้าของน้องๆ คือประทับใจตรงที่เราตอนเด็กๆ เราดูละครแบบนี้ แล้วเราก็เล่นแปลงร่าง (หัวเราะ)
ไอดอลในวงการก็คือ "พี่แดน วรเวช ดานุวงศ์" เป็นคนที่ชอบมากๆ เราโตมาในยุคนั้น คือยุค D2B ตอนเด็กๆ เราอาจจะไม่ได้เล่นดนตรีเพราะพี่แดน แต่ว่าเราโตขึ้นมาในช่วงคาบเกี่ยว คือพี่เขามีความสามารถหลายอย่าง คือแสดงก็เก่ง กำกับภาพยนตร์ก็ได้ คือพี่เก่งมาก เวลาเจอพี่เขาก็บอกพี่เขาว่าพี่คือไอดอลของเรานะ เวลาวันเกิดของเราพี่เขาก็จะส่งคลิปมาแฮปปี้เบิร์ธเดย์ เราก็ประทับใจเขามาก
สิ่งที่อยากจะทำแต่ยังไม่มีโอกาสทำ คือ การเป็นผู้กำกับฯ เป็นสิ่งที่ท้าทายนะ เราอยากจะได้รับโอกาสดีๆ ถึงแม้จะยังไม่ถึงโอกาสของเรา แต่คิดว่าครั้งนึงในชีวิตจะต้องกำกับ เป็นผลงานสักหนึ่งชิ้น อย่าง หนัง หนังสั้น หรือจะเป็นเกี่ยวกับละครก็ได้ แต่เราคิดว่าตัวเราไม่ได้เก่งนะ แต่คิดว่าต้องทำได้
วิธีรับมือกับกระแสข่าว อย่างแรกเลยคือต้องย้อนกลับไปเลยว่าเรื่องจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องยอมรับ เราอยู่ในปี 2018 แล้ว เราอยู่ในยุคดิจิตอลที่เปิดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะแก้ตัวได้ ยอมรับไปดีกว่า อย่างน้อยสังคมก็ให้อภัย แต่ถ้ามัวปกปิดอยู่เชื่อว่าสังคมอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา อยู่ในวงการบันเทิงตอนนี้ก็ 5 ปีแล้วเร็วมากๆ ตั้งแต่อายุ 16-17 ปี
สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณแฟนคลับมากๆ ขอบคุณ “อาเป็ด เชิญยิ้ม” ที่ก่อตั้งรายการ “เดอะ คอมเมเดียน ไทยแลนด์” ขึ้นมา ทำให้เราได้มีเส้นทางที่เดินให้ผมโตขึ้นมา ขอบคุณแฟนคลับทุกๆ คนที่ติดตามมาตั้งแต่เข้าวงการบันเทิง ซึ่งไม่รู้เลยว่าผมเป็นใคร เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนนึงได้เข้าสู่วงการ ขอบคุณแฟนคลับละครทุกคนที่ชื่นชอบในทุกๆ ผลงานของเรา ขอบคุณมากครับ
