เบื้องหลังงานวิวาห์หมื่นล้าน “จุ้มจิ้ม-ภัทร”
เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นอีกหนึ่งคู่รักที่ดูแลกันอย่างดีมาโดยตลอด กระทั่งปลูกต้นรักจนสุกงอมจึงได้ฤกษ์จูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์กันไป สำหรับคู่รักหมื่นล้าน “ภัทร จึงกานต์กุล” ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง-นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการตลาดดิจิตอล กับแฟนสาว “จุ้มจิ้ม วรนันท์ จันทรัศมี” ทายาทธุรกิจหมื่นล้านเจ้าของศูนย์การค้าไดอาน่า หาดใหญ่ ในเครือพิธานกรุ๊ป ที่หลังจากคบหาดูใจกันมาได้สักระยะ ทั้งสองฝ่ายก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยได้รับพระกรุณาประกอบพิธีสมรสประทานจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ พระตำหนักใหญ่ วังศุโขทัย และเตรียมจัดพิธีฉลองมงคลสมรสขึ้นในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งงานฉลองมงคลสมรสครั้งนี้ทั้งคู่เผยว่า
ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะอยากจะทำงานออกมาให้ทุกคนประทับใจและดีที่สุด ตอนเริ่มต้นเตรียมงานในช่วงแรก เราสองคนค่อนข้างเครียด เพราะอยากให้งานออกมาสมบูรณ์ที่สุด อยากให้เป็นวันที่ไม่ได้มีแค่เราที่ประทับใจ เพราะหลายคนมักพูดว่างานแต่งมันก็เป็นแค่งานของเรา และก็คงมีแต่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่มีความสุข แต่เราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เราอยากให้คนที่มาร่วมแสดงความยินดีรู้สึกสนุกและมีความสุขแบบเราด้วย ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่ค่อนข้างท้าทาย เพราะเมื่อเราโตขึ้น รู้จักคนเยอะขึ้น สังคมที่อยู่ก็กว้างขึ้น แขกเหรื่อในงานก็ต้องมีทั้งเพื่อนสมัยประถม มัธยม มหา’ลัย เพื่อนวัยทำงาน กระทั่งแขกญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย เราก็ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้ทุกคนสนุกเหมือนกัน เพราะความไม่สนิทของแขกก็อาจทำให้เขาเบื่อได้ เราจึงลงมือวางคอนเซ็ปต์และเตรียมงานด้วยตัวเองในทุกขั้นตอน เพื่อให้แขกที่มาในงานทุกคนได้รับความทรงจำที่ดีกลับบ้านไปเหมือนกัน
แต่การจะมีชีวิตคู่ที่ลงตัวนั้นทุกอย่างก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป หลายคู่มักจะมีปัญหากันในช่วงของการเตรียมงานแต่ง ซึ่งอาจมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในหลายๆ อย่าง ซึ่งสำหรับคู่นี้ก็มีบททดสอบผ่านเข้ามาพิสูจน์ความรักของทั้งคู่เช่นกัน ก่อนหน้านี้เราทะเลาะกันบ่อยมาก เรียกว่าเป็นมรสุมที่เข้ามาทดสอบความรักเลยก็ว่าได้ มีทั้งเรื่องการเตรียมงานที่ความเห็นไม่ตรงกัน และมีเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจผิดกันอยู่บ้าง ซึ่งยอมรับว่าเราก็มีถอดใจในช่วงแรก แต่พี่ภัทรเขาเป็นคนใจเย็นและก็พยายามที่จะอธิบายให้เราเข้าใจทุกอย่าง ต้องขอบคุณเขาที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ปล่อยมือกัน
จริงๆ การที่มีเหตุการณ์ให้เราต้องทะเลาะกันบ้างนับเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เพราะคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หากไม่เคยทะเลาะกันเลยแล้วแต่งงานกันไป เราไม่รู้เลยว่าถ้าเกิดมีปัญหากันขึ้นมาภายหลังแล้วจะสามารถผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นไปด้วยกันได้หรือเปล่า การที่เรามีปัญหากัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มันก็ทำให้เรารู้จักอีกคนมากขึ้น ได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ซึ่งสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตคู่สำหรับเราสองคนนั้นก็คือ ความไม่เห็นแก่ตัว เพราะถ้าไม่เห็นแก่ตัวเราก็จะรู้จักการขอโทษกัน ให้อภัยกัน คอยให้คำปรึกษาซึ่งกันและกัน และผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตไปด้วยกันได้
ซึ่งทั้งคู่ได้แนะนำเทคนิคถึงการเตรียมงานแต่งงานให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด โดยความใส่ใจในรายละเอียด การเตรียมงานของทั้งคู่เริ่มตั้งแต่การทำการ์ดเชิญที่จะต้องเป็นแบบทำมือ เพราะอยากให้ผู้รับรู้สึกถึงความตั้งใจของบ่าว-สาวที่อยากจะเชิญแขกทุกท่านมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญนี้ ต่อมาคือ ของชำร่วย ที่ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันจากความชอบของบ่าว-สาว ซึ่งนอกจากความสวยงามน่าจดจำแล้ว จะต้องสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงอีกด้วย สิ่งสำคัญถัดมาคือ กำหนดการ ที่ทั้งคู่วางแผนงานไว้เป็นอย่างดี เพราะไม่อยากให้งานมีช่วงที่งานน่าเบื่อเลย อย่างช่วงจบพิธีฉลองมงคลสมรสก่อนเข้าสู่ After Party นั้นก็มีจะการร้อยเรียงลำดับพิธีอย่างราบรื่น และทั้งคู่เผยว่ามีคิดไฮไลท์เตรียมเซอร์ไพรส์ไว้มากมาย เพราะอยากให้แขกทุกคนสนุกและรู้สึกเป็นกันเอง ต่อมาคือเรื่องของอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกเตรียมไว้สำหรับแขก 2,000 คน ซึ่งมีเมนูซิกเนเจอร์ของงานที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากการผสมผสานเมนูโปรดของบ่าว-สาวเข้าด้วยกัน ถัดมาที่เรื่องของคอนเซ็ปต์และการตกแต่งภายในงาน ที่ถูกถ่ายทอดออกมาในบรรยากาศของสวรรค์ ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น เพราะทั้งคู่อยากให้แขกเหรื่อภายในงานรู้สึกเป็นกันเองมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นงานแต่งที่คำนึงถึงแขกที่มาร่วมงานเป็นส่วนใหญ่ เพราะแม้กระทั่งเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งคู่ยังเผยว่าก็เป็นหนึ่งคนสำคัญไม่แพ้บ่าว-สาว
เพื่อนเจ้าสาวเขาจะต้องมาช่วยเราหลายเรื่องในวันงาน ก็เลยอยากให้เขาได้รับในสิ่งที่ดีเช่นกัน อย่างชุดเพื่อนเราก็ช่วยดูแลมาตลอดว่าสวยไหม ใส่พอดีหรือเปล่า แล้วก็มีเตรียมของขวัญให้กับเพื่อนทุกคน เพราะอยากให้เขาประทับใจในงานของเราจริงๆ ซึ่งช่วงเตรียมงานแรกๆ ก็มีตะกุกตะกักติดขัดกันบ้าง ยังไม่ค่อยได้เริ่มต้นดูแลตัวเองกันเท่าไหร่ จะดูแลแต่เรื่องคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ (หัวเราะ) แต่ก็โชคดีที่พี่ภัทรเขาเข้าใจ และคอยช่วยเหลือเป็นกำลังใจกันมาตลอด ซึ่งพอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เราสองคนก็เริ่มให้เวลากับการดูแลตัวเองกันมากขึ้น
ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยออกกำลังกายเท่าไหร่ เพิ่งมาฟิตช่วงที่จะเป็นเจ้าสาวนี่แหละ (หัวเราะ) ส่วนเจ้าบ่าวก็ฟิตเหมือนกัน พี่ภัทรเขาตั้งใจลดน้ำหนักเลย ตอนนี้ลงไป 10 กิโลกรัมแล้ว เดี๋ยวก็จะเร่งสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา เห็นในความตั้งใจของเขาแล้ว เราก็เป็นกำลังใจให้ตลอด
จริงๆ สำหรับผู้ชายอย่างเรา นอกจากการเตรียมตัวเรื่องภายนอกให้ดูดีแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการเป็นหัวหน้าครอบครัวเช่นกัน ต้องเริ่มวางแผนพูดคุยกันมากขึ้นถึงเรื่องอนาคต หลักๆ ที่คุยกันไว้ หลังแต่งงานเราก็คงมีลูกกันเลย เพราะคิดว่าตอนนี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว