มุมมอง “นุ่น รมิดา” เรื่องความรักดารา กับข้อครหาเมื่อเป็น “บุคคลสาธารณะ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าขนบการอยู่เรือนเรื่อง “ไม่ชิงสุกก่อนห่าม” หรือ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” เป็นสำนวนที่คุ้นหูมาหลายยุคหลายสมัยในสังคมไทย แต่ขณะเดียวกันวิถีชีวิตจริงของคนสมัยนี้เรื่องการคบหาดูใจหรือตัดสินใจใช้ชีวิตคู่นั้น ไม่น้อยเลยที่ตัดสินใจทดลองอยู่จริงก่อนตกลงปลงใจลั่นระฆังวิวาห์ บ้างให้เหตุผลว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ตนเองและคู่ชีวิตได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ค่อยๆ ศึกษาดูใจกันไป ลดรายจ่ายเรื่องการจัดงานแต่งงาน ลดการหย่าร้าง ลดข้อผูกมัด หรือเหตุผลประกอบอื่นๆ
ทั้ง 2 ทางเลือก “แต่งก่อนอยู่” และ “อยู่ก่อนแต่ง” หรือแม้แต่การเป็นโสดถูกหยิบยกมาถกเถียงกันหลายต่อหลายครั้งเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเรื่องเหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะเขียนเป็นตำราหรือทฤษฎีตายตัว อยู่ที่การพลิกแพลงหยิบยกไปชั่งใจกัน และสำหรับยุคปัจจุบันทางเลือกในการตัดสินใจใช้ชีวิตคู่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ผู้คนเปิดใจและให้กับเรื่องสถานะความสัมพันธ์หลากหลายออกไปมากขึ้น เรียกว่ารูปแบบความสัมพันธ์ตามสะดวกเหมาะสม
อย่างไรก็ตามหากเป็นสัมพันธ์ของประชาชนทั่วไป ก็คงจะไม่เสียหลายเป็นข่าว หากแต่เมื่อมีไฟส่องหน้าใสพื้นที่ของวงการบันเทิง บางครั้งต้องบอกว่าหนีไม่พ้นกระแสดราม่า
สำหรับนักแสดงสาว “นุ่น รมิดา ประภาสโนบล” กับหวานใจหนุ่ม “หลุยส์ สก๊อตต์” ก็เคยเป็นหนึ่งในจำเลยสังคมเมื่อให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ที่ไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผยมากขึ้น โดยทั้งคู่เป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ถูกโจมตีมากอย่างดาราแต่ก่อน ด้วยสมัยที่เปลี่ยนไป ระยะเวลาที่ทั้งคู่คบหากันกว่า 10 ปี และวุฒิภาวะ-วัยวุฒิของทั้งคู่ที่สามารถรับผิดชอบตนเองได้แล้ว ล่าสุดทาง “ดาราเดลี่” มีโอกาสสัมภาษณ์สกู๊ปพิเศษนี้เพื่อเป็นอีกหนึ่งมุมมองและแนวทางให้คนรุ่นใหม่ พร้อมกับเป็นกระบอกเสียงแทนศิลปินดาราอีกหนึ่งเสียง โดย “นุ่น” เผยถึงประเด็นต่างๆ ว่า
ดารากับคำว่าบุคคลสาธารณะ
สังเกตไหมว่าการเป็นดาราแล้วทำความผิดอะไรก็ตามจะเครียดกว่าคนอื่น จะต้องเจออะไรที่หนักมากกว่า ในหลายๆ ครั้งเป็นคนไม่รู้จักด้วยซ้ำที่เข้ามาด่า ปกติถ้าเราทำผิด พ่อแม่ คนในครอบครัว หรือเพื่อนเรา ก็ด่าหรือสอนอยู่แล้วต่อเรื่องนั้น แต่ดาราจะโดนทั้งประเทศ ปัจจุบันมีเรื่องของโซเชียลมีเดียเข้ามา เราหลีกเลี่ยงที่จะไม่เสพมันไม่ได้อยู่แล้ว มันเลยค่อนข้างจะกระทบ ออกความคิดเห็นได้ แต่การพูด-คอมเมนต์หรือต่อว่าบางครั้งก็เกินไป คนบางครั้งไม่ได้อ่านข่าวด้วยซ้ำ แต่อ่านคอมเมนต์ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นแล้วไปด่า สาปแช่งก็มี
ไม่ใช่ว่าเราปฏิเสธว่าเราไม่ใช่บุคคลสาธารณะ แต่เราก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง มีผิดพลาด และก็กลัวความผิดพลาดหลายๆ เรื่องจะเกิดขึ้นกับเรา เคยสมมติตัวเองว่าถ้าเป็นเราในเหตุการณ์นั้น เราจะรับได้ไหม เราจะทำอย่างไรเมื่อคนทั้งประเทศด่าเรา
ความรักของดาราในฐานะบุคคลสาธารณะ
เรื่องกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าศิลปินดาราเป็นต้นแบบของสังคม มองอีกมุมก็เป็นการยัดเยียดให้ว่า “เธอเป็นคนของประชาชน” นักแสดงแท้จริงก็คืออาชีพหนึ่งไม่ต่างจากพนักงานออฟฟิศ หรือค้าขาย ไม่ได้มองเป็นเกียรติที่ต้องถูกยก ทุกอาชีพมีเกียรติ แต่ไม่ใช่ที่ต้องยกย่องสูงสุด มันเหมือนยัดเยียดสิ่งนี้ให้เรามากเกินไป เราไม่ได้มาจากชนชั้นสูง เราเป็นศิลปินดารามาจากหลายชนชั้น อย่างเราเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัดธรรมดา เราก็มาเรียนรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำเมื่อเราโตขึ้น การมาบอกว่าเราเป็นตัวอย่างของเยาวชน เด็กๆ หรือคนดูเราเยอะ
แต่ขณะเดียวกันละครที่เราเล่นก็มีสอดแทรกเรื่องความรัก เรื่องครอบครัวที่มากกว่าชีวิตจริงของเราเองอีก แต่ในส่วนที่คุณเห็นจากโทรทัศน์ ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ก็ต้องสอนบุตรหลานว่าแบบในโทรทัศน์เป็นอย่างไร ผลกระทบเป็นอย่างไร แต่พอเป็นในชีวิตจริงของดารา ที่ก็เหมือนคนทั่วไป อาจจะมีผิดพลาดได้ คนกลับไม่ยอมรับและกลายเป็นคำต่อว่า ว่า “เป็นดาราทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมทำแบบนี้” เวลาเราทำงานเราก็รับผิดชอบงาน ไม่ได้มาสาย ไม่ได้อู้หรือมากองแล้วไม่ทำงาน ก็เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงาน เแต่ส่วนของชีวิตนอกเวลางาน ออกไปใช้ชีวิต รวมถึงเรื่องชีวิตคู่แล้ว สมมติมันเกิดความผิดพลาด มันก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป แค่อยู่กันคนละจุดที่เราสวมคำว่าเป็นดารา
เราเคารพในการตัดสินใจของหลายๆ คน ที่บางครั้งอาจจะเป็นความผิดพลาด หรือบทเรียนที่เขาจะได้รู้ว่า การตัดสินใจผิดมาตั้งแต่แรกมันก็จะส่งผลให้คุณเห็นว่ามันจะเกิดผลแบบนี้ จริงๆ แล้วอาจไปคิดเองมากกว่าว่ามันเป็นผลกับเรา ทั้งๆ ที่เป็นการตัดสินใจของคุณเอง สุดท้ายเขาต้องเป็นคนรับมือและแก้ไขในอนาคต ชีวิตส่วนตัวก็คือส่วนตัว งานก็คืองาน ออกไปข้างนอกเวลาเจอคนมาขอถ่ายรูป เราก็ถ่ายปกติในฐานะที่เราเป็นดารา “แต่เราไม่ใช่อย่างเดียวที่เป็นต้นแบบ หรือเป็นทั้งหมดของสังคมนี้ที่จะเป็นต้นแบบ เราก็เป็นคนๆ หนึ่งเท่านั้น มีถูกมีผิดได้”
เขาว่าอยู่ก่อนแต่งเป็นเทรนด์ดารา
ประเด็นแต่งงานโดยเฉพาะเรื่องอยู่ก่อนแต่ง ด้วยสมัยนี้การอยู่ก่อนแต่ง “นุ่น” มองว่าต้องอยู่ที่ช่วงอายุ เราไม่สนับสนุนว่า 17 ปีไปมีแฟน ไปมีครอบครัว เราก็ไม่แนะนำ แต่ถ้าเป็นอายุที่มากขึ้นอาจจะคบกันไปก่อนไหม เรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็อาจจะขยับมาอยู่ด้วยกันมากขึ้นในจุดที่อายุเราโอเคแล้ว ครอบครัว พ่อแม่เราโอเค การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันโอเคในจุดหนึ่งที่คนโตแล้วจะก้าวขึ้นที่ขั้นนั้น
การอยู่ก่อนแต่งน่าจะเป็นเรื่องของวัยวุฒิมากกว่าที่จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ ถ้าอายุอยู่ในจุดที่เด็กเกินไปเราเองก็ไม่สนับสนุน มันไม่ใช่เรื่องการอยากสร้างครอบครัว อาจจะเป็นเรื่องอื่นๆ แทน คนในวัย 20 เกือบ 30 ที่ออกมาทำงาน มีรายได้แล้ว พ่อแม่ไม่ต้องมารับผิดชอบแล้ว เรามองว่ามันก็เป็นสเต็ปการมองหาชีวิตคู่หรือมีครอบครัวแล้ว การศึกษากันด้วยการอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกเท่าไรในยุคสมัยนี้ คนที่โตแล้วมีทางเลือกได้หลายทางว่าจะใช้อย่างไรก่อนแต่งงาน แต่จริงๆ เรื่องนี้มีมาตั้งนานแล้ว สมัยก่อนหรือยุคพ่อแม่เรา หากเป็นดารามีสามี-ภรรยาเปิดตัวไม่ได้ มีลูกก็อาจจะต้องปิด เพราะแฟนคลับมองว่าคนที่เขารักไปมีครอบครัวแล้ว
ยุคที่ “นุ่น” เข้าวงการก็ไม่ต้องปิดบังเรื่องแฟน แต่บางครั้งไม่เปิดก็อาจจะดีกว่า เรื่องอยู่ก่อนแต่งมีมานานแล้ว หลายๆ คู่ก็ทำมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่สังคมอาจจะนิ่งเฉยกับมันหรือเปล่า ตอนนี้มีคนหลายๆ กลุ่มที่กล้าออกมายอมรับว่าอยู่ก่อนแต่งมากขึ้น หรือสังคมใหม่ๆ ทำให้เรารู้สึกแคร์น้อยลง กล้าที่จะตัดสินใจเปิดเผยได้มากขึ้นว่า “ฉันอยู่กับแฟนแล้วนะ ฉันอยู่ก่อนแต่ง” หรือแม้แต่เรื่องแต่งสายฟ้าแลบ “นุ่น” ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรกับการแต่งงานสายฟ้าแลบ เพราะว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้ออกสื่อเสมอไป มองว่าเป็นเรื่องปกติ บางทีเราทำอะไรบางอย่างไม่จำเป็นว่านักข่าวหรือคนอื่นจะต้องรู้ตลอดเวลา บางอย่างไม่ใช่อยู่ดีๆ แต่งหรอก เรามองว่าการแต่งงานเป็นเรื่องส่วนบุคคล ทำไมโมเมนต์นั้นถึงอยากแต่ง มันไม่ได้แหมือนกับสมัยก่อนด้วยที่การแต่งงานหรือการเปิดตัวแฟนเป็นเรื่องที่ยาก เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ๆ เข้าวงการก็เปิดตัวแฟนได้เลย
สังคมต้องปรับตัวยังไงในยุคสมัยที่ใครๆ ก็เปิดตัว
เรื่องการปรับตัว “นุ่น” ก็มีมุมหัวโบราณนะ เห็นเด็กนักเรียนเกาะกลุ่มมีกิ๊กกั๊กกัน เราก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันไม่เหมาะสม ไม่ใช่คิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องของเขา เราก็ยังอยากเห็นความน่ารัก การมีชีวิตไปตามวัย แต่ตอนนี้ทุกอย่างไปเร็วมาก โทรศัพท์ใช้อินเตอร์เน็ตได้ โลกเปลี่ยนไปเร็วมาก ไม่อยากให้โฟกัสหรือเลือกที่จะมอง แต่ให้มองด้วยความเข้าใจว่าทุกอย่างมีเหตุผลของมันอยู่แล้วในตัว อยู่ที่ว่าจะเปิดมุมมองมากแค่ไหน “เราไม่สามารถที่จะบังคับสังคมให้มันเปลี่ยนได้ จริงๆ เราควรจะมองว่าเราทำอะไรได้ดีที่สุดแค่ไหน หรือเราทำอะไรให้กับคนใกล้ตัวของเราดีที่สุดแค่ไหน”
หากในอนาคตเรามีลูกหรือมีหลานก็อาจจะต้องสอนเรื่องนี้ เรามองว่ามีแฟนได้ อยู่จุดไหนควรจะไปยังไง ต้องโฟกัสอะไร "คงไม่บอกว่า แล้วแต่หนูเลย อยากมีแฟน อยากอยู่ด้วยกัน ก็แล้วแต่หนูเลย ตัดสินใจเอง มีได้เลย” เรามองว่าอายุประมาณไหนถึงจะให้คำแนะนำหรือปล่อยให้เขาตัดสินใจเองได้ ให้คำแนะนำในที่ของเรา