"ต่าย" เปิดใจทั้งน้ำตา สงสารลูก รับมีปัญหาครอบครัวจริง แต่ยังไม่หย่า "ทิม"
เป็นที่ถูกจับตามองถึงเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว เมื่อมีกระแสข่าวลือออกมาว่าความรักของนักแสดงสาว "ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ" กับสามีนักธุรกิจหนุ่ม "ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" กำลังสั่นสะเทือน ทางฝ่ายชายก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่ากำลังมีปัญหากันอยู่จริง แต่ไม่ขอลงรายละเอียดต่างๆ ล่าสุด "ต่าย ชุติมา" ได้เจอกับเจ้าตัวเธอเผยว่า
ก็เป็นแบบที่คุณทิมพูด ว่ามีการปรึกษากันอยู่เกี่ยวกับปัญหาภายในว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เกิดปัญหามานานยัง หลายเดือนแล้วเหมือนกัน ส่วนสาเหตุคือความไม่เข้าใจกันในหลายๆ เรื่อง และทัศนคติที่แตกต่าง รวมทั้งครอบครัวของทั้ง 2 คน หรือการเติบโตของทั้ง 2 คน ที่ถูกเลี้ยงมาคนละแบบ แล้วก่อนหน้านี้ไม่ได้ศึกษากันก่อนหรือเปล่า ปัญหาหลักๆ คือเรา 2 คนโฟกัสที่ลูก เราโตมาคนละแบบ ทั้งคู่ก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก เลยมีความคิดเห็นในการเลี้ยงลูกที่ไม่ตรงกัน เราไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้ว ไม่ขนาดนั้น เรามีกลับมานอนบ้านกับแม่เราบ้าง แล้วความสัมพันธ์ตอนนี้คือ ยังปรึกษากันอยู่ว่าจะยังไง เพราะเรา 2 คนโฟกัสที่ลูกเป็นหลักอยู่แล้ว
มีกระแสว่าเราติดเที่ยว ติดปาร์ตี้ ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตคู่กับพี่ทิมมา ไม่มีคำว่าติดเที่ยวแน่นอน เรายังมีจิตสำนึกของความเป็นแม่ รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรเหมาะสม ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราแทบจะไม่ได้ไปไหนเลย ขณะที่เราจะไปต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดกับแม่ เรายังไปไม่ค่อยได้เลย ถ้ามันมีโอกาสพิเศษอย่างเช่น วันเกิด หรืองานแต่งงาน เราก็ต้องไปบ้างตามมารยาทอยู่แล้ว เรารู้ว่าเวลาไหนเหมาะ สมควรหรือไม่ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้เรียบร้อยก่อน ได้หาทางออกให้ครอบครัวอย่างไร ก็พยายามปรึกษากัน ว่าต่างคนจะต้องการไปในทิศทางไหน
มีข่าวว่าเตรียมฟ้องหย่า คงไม่มีใครอยากให้ไปถึงจุดนั้นหรอก ทุกวันนี้ก็คุยกันและโฟกัสที่ลูกเป็นหลักอยู่แล้ว แล้วข่าวลือว่าฟ้องหย่า 50 ล้าน โห... บางทีเราก็เสียใจนะ อยู่ดีๆ ก็มีคนพูดอย่างนู้นอย่างนี้ ถ้าโดยเฉพาะมันมาจากคนในครอบครัว มันน่าผิดหวังมากถ้าอะไรที่ไม่ใช่ความจริง ซึ่งเราไม่เคยยึดติดกับเรื่องเงินเลย คือทุกวันนี้ที่เราต้องเริ่มทำธุรกิจ เงินลงทุนเราก็ทำกับที่บ้าน เราเปิดร้านมาประมาณ 2 ปี ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของบ้าน คือเรายินดีทำอยู่แล้ว เหมือนข่าวออกมาดิสเครดิตเรา แล้วเรื่องมือที่สาม คนจะพูดอะไรก็ได้ แต่ความจริงก็คือความจริง คนใกล้ชิดก็จะรู้
ยืนยันว่าเรื่องที่เราไม่ดูแลลูก มือที่สามไม่เป็นความจริง เป็นไปไม่ได้เลย เรารู้อยู่แล้วว่าหน้าที่เราคืออะไร เรามีเพื่อนได้ ไม่ว่าจะผู้ชาย หรือทอม คือเมื่อก่อนที่เรายังไม่ได้เริ่มทำงาน ไม่ได้มีสังคมอะไรอย่างนี้ แต่พอเราเริ่มทำธุรกิจ หรือมีเรียนปริญญาโท ก็ต้องมีเพื่อนเพิ่มขึ้น มีสังคมบ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่คนได้เห็นคือ เป็นเพื่อนสนิท ไว้ใจได้
มีคุยกันเรื่องลูกเป็นหลักเลย มีโอกาสกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมมั้ย มันก็เป็นเรื่องของอนาคต จริงๆ แล้วที่เราพยายามกันก็เพราะว่าลูก บางทีก็เสียใจทำไมลูกต้องมาเจอแบบนี้ (ร้องไห้) ไม่มีใครอยากให้ครอบครัวของลูกไม่สมบูรณ์หรอก เราไม่อยากให้ข่าวนี่กระทบจิตใจลูก ก็ด้วย และก็รวมถึงปัญหาของเรา 2 คน เรารู้สึกว่าเราเป็นต้นเหตุหรือเปล่า (เสียงสั่น) ที่ทำให้ลูกต้องมาเป็นแบบนี้ เราน่าจะคุยกันได้ เพื่ออนาคตที่ของลูก คนมองว่าเราแย่งลูก เราไม่เคยคิดจะแย่งหรืออะไรเลย เพราะเราอยากให้ลูกได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่เท่าๆ กัน อย่างที่บอกว่าพอเราโฟกัสที่ลูก เราก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขา
ในหัวเราไม่มีคำว่าหย่า อย่างที่บอกว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ทุกวันนี้เราก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ ได้คุยกับลูกมั้ย ก็พยายามให้เวลาและให้ความรักกับเขาอย่างเต็มที่ที่สุด เขาอาจจะยังเล็กไปที่จะอธิบาย เขาอาจจะรับรู้ความรู้สึกได้ แต่ด้วยความรักที่เรามีให้เขา เขาก็ต้องรู้ว่าเราเป็นแม่คนหนึ่งที่ให้ความรักกับลูกคนหนึ่งได้เต็มที่ในแบบที่แม่คนหนึ่งจะให้ได้ ได้ให้กำลังใจตัวเองยังไง ก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่ผ่านมา อะไรที่เกิดขึ้นมันดีหมด สิ่งไหนไม่ดีหรือสิ่งที่เกิดกับเรา เราก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันเป็นประสบ การณ์ที่เกิดขึ้น (เสียงสั่น) คอยเตือนเราในอนาคตว่าจะดำเนินชีวิตไปในแบบไหน ช่วงที่กำลังมีปัญหากัน มีการทำร้ายร่างกายมั้ย อันนี้ขออนุญาตไม่ตอบ
คุณทิมทำหน้าที่สามีที่ดีมั้ย เขาก็ทำหน้าที่ของเขาทุกวันนี้เราก็ยังรัก และหวังดีกับเขาอยู่แล้ว คนมองว่าเราเป็นสายปาร์ตี้ทิ้งลูกป่วยไปเที่ยว มีไรจะบอกคนคิดแบบนั้นมั้ย ก็เข้าใจ พอเราอยู่ ณ จุด จุดนี้ พอมีข่าวออกมา บางทีคนที่ไม่รู้ความจริง หรือไม่ได้ใกล้ชิดจริงๆ ก็จะรับฟังแล้วไปวิเคราะห์ หรือจะเชื่อไปเลย คือเราไม่มีสิทธิ์ไปห้ามความคิดเขา แต่ว่าเรารู้ตัวเราว่าทำอะไรอยู่ ความจริงคืออะไร และคนใกล้ชิดทุกคนเรารู้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คุณพ่อ คุณแม่ เราไม่โกรธหรือซีเรียสใช่มั้ย ก็แค่รู้สึกเสียใจ ผิดหวัง แต่เราก็ไปห้ามการกระทำหรือความคิดของคนอื่นไม่ได้ เราแก้ที่ตัวเราดีกว่า สถานะสามีภรรยา ก็ยังถูกต้องตามกฎหมายอยู่ หลายๆ คนก็พยายามเป็นกาวใจ แต่สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่คนสองคน ยังเลี้ยงลูกอยู่ด้วยกันหรือต่างคนต่างอยู่ ถ้ามีเวลาก็ได้เลี้ยงด้วยกัน ทุกวันนี้เราก็มีภาระหน้าที่ของเรา ยืนยันว่ายังเป็นครอบครัวอยู่ เป็นพ่อแม่ของลูกอนาคตจะเป็นยังไงเดี๋ยวค่อยมาว่าอีกที