“JSL” เจ็บหนัก สูญ 20 ล้าน หลังช่อง 7 ยกเลิกสัญญากะทันหัน
“หน่อย จำนรรค์ ศิริตัน หนุนภักดี” ประธานกรรมการ บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด แถลงข่าวเปิดใจถึงกรณีรายการ “กิ๊กดู๋ สงครามเพลงเงาเสียง” และ “กิ๊กดู๋ ซุปตาร์เงินล้าน” พ้นจอช่อง 7HD แบบฉับพลัน รวมถึงกระแสข่าวดราม่าต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเผยว่า
หลังจากที่มีข่าวว่า JSL ไม่ได้อยู่ที่ช่อง 7 แล้ว หลายวันที่เราไม่ได้ออกมาพูดให้ทุกคนได้รับทราบว่ามันเกิดเรื่องราวอย่างนี้ได้อย่างไร ในวันนี้ที่มาพูดไม่ได้จะมาทะเลาะกันหรือมาขุดคุ้ยเรื่องที่ว่าใครถูกใครผิด เพราะมันผ่านพ้นตรงนั้นไปแล้ว สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นก็เพียงแต่จะมาชี้แจงข้อประเด็นต่างๆ เท่านั้นว่า ทำไมเราถึงทิ้งไปแบบไม่รับผิดชอบ เราเลิกรายการแบบกะทันหัน จริงๆ แล้ว JSL ทำงานกับช่อง 7 มา 32 ปี เริ่มแรกรายการ 07 โชว์ ตั้งแต่ปี 2529 ตั้งแต่นั้นมาเราก็ทำรายการให้กับช่อง 7 หลายรายการ สมัยก่อนคือการเช่าเวลาจากช่อง 7 และเราหาโฆษณา 32 ปีมานี้ JSL เช่าเวลาจากช่อง 7 ถ้านับเป็นจำนวนเงินก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 พันล้าน แต่เราก็ได้รายได้มาเยอะ ถือว่าต่างคนต่างได้ต่างคนต่างรับ ตลอดระยะเวลา 32 ปีที่เราทำมาหลายรายการจนมาถึงรายการสุดท้าย คือ “กิ๊กดู๋ สงครามเพลงเงาเสียง” และ “กิ๊กดู๋ ซุปตาร์เงินล้าน” รวมถึงละคร “เล่ห์รักบุษบา” ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราก็ทำหน้าที่ของผู้จัดฯ อย่างสุดความสามารถ พยายามทำให้ทุกรายการได้รับความนิยม เรื่องของธุรกิจเราก็ไม่เคยบิดพลิ้ว เราก็จ่าย
ถ้าอยู่ในวงการอุตสาหกรรมโทรทัศน์จะรู้ว่ามันไม่ได้สบายเหมือนเมื่อก่อน แม้กระทั่งสถานีก็รับทราบอยู่ เพราะรายได้จากสถานีก็ตกต่ำลงมาเยอะมาก บางสถานีขาดทุนด้วยซ้ำไป เช่นเดียวกับทาง JSL เราเป็นเพียงผู้จัดฯ เล็กๆ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่กระทบกระเทือนจากการที่สถานีโทรทัศน์เกิดขึ้นมาหลายๆ ช่อง ที่สำคัญคือ การเกิดคอนเทนต์อินเตอร์เน็ต ได้กระจายการใช้เงินของสปอนเซอร์ไปเยอะมาก ยิ่งทำค่าโฆษณาก็ยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ในฐานะผู้จัดฯ เราก็ต้องยังคงความมีคุณภาพไม่ให้ลดลง แต่รายได้มันลดลง ซึ่งมันมีสัญญาณมาตั้งแต่ปี 2559 และเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่โฆษณาลดลง แต่โฆษณาลดลงก็ไม่สำคัญเท่ากับเราต้องขายแข่งกับสถานีด้วย เพราะเขาก็ต้องให้สถานีเขาอยู่รอด นอกจากเราจะหาโฆษณายากแล้ว เราต้องขายโฆษณาแข่งกับสถานีอีก ยังไงก็ขายสู้ไม่ได้ เพราะสถานีเขาขายเป็นแพ็คเกจใหญ่ ขายทั้งสถานี แต่เราขายแค่เวลาของเรา
ที่ JSL อยู่รอดมาได้เพราะสปอนเซอร์ให้ความไว้วางใจ เราก็ต้องมีกลยุทธ์ที่แตกต่างจากสถานี การทำงานของผู้จัดฯ เล็กๆ มันยากขึ้นทุกวัน กว่าจะได้เงินต้องใช้สติปัญญากันมากมาย นอกจากผลิตรายการแล้วยังต้องทำแพ็คเกจมาร์เก็ตติ้งให้กับลูกค้าด้วย แต่สิ่งนั้นก็ทำให้เราอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
เราได้ทำหนังสือไปถึงช่องตั้งแต่เรื่องของการขอลดค่าเวลา ลดค่าเช่าเวลา จริงๆ แล้วเกณฑ์ที่เราขอไปคือลด 50% แต่สถานีก็ผ่อนผันให้ลดมาไม่ถึง 50% ลดมาให้ตามเกณฑ์ที่เขาคิดว่าสมควรจะให้ได้ขนาดนี้ เราทำหนังสือไปฉบับแรกวันที่ 26 สิงหาคม 2559 เพื่อขอลดค่าเวลา เพราะความเดือดร้อนของผู้จัดฯ มันเริ่มมี วันที่ 27 สิงหาคม 2560 เราขอคืนเวลารายการ จันทร์พันดาว อันนี้เริ่มเห็นชัดแล้วว่ามันหนักถ้าเราอยู่กับสถานีอันดับ 1 ของประเทศแต่ทำไมเรายังต้องคืนเวลา ความจริงตรงนี้เป็นสิ่งที่สถานีต้องตระหนักแล้วว่าผู้จัดฯ เดือดร้อนจริงๆ และเราก็ขอลดค่าเวลาไปด้วย วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 เราขอลดค่าเวลา ขอยกเลิกแบงค์การันตี ขอให้พิจารณาจ้างบริษัทผลิตรายการ และไม่ให้ช่องขายโฆษณาแข่งกับผู้จัดฯ อันนี้เป็นหนังสือไปจาก 5 บริษัทผู้จัดฯ ทั้งหมดของช่อง 7 ตลอดระยะเวลาเราก็รอว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร ผลตอบรับที่ได้มาคือเรื่องของการผ่อนคลายการเซนเซอร์โฆษณา นอกนั้นก็ยังไม่มีการตอบรับว่าจะช่วยเหลืออย่างไร
เมื่อมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าบริษัทที่ทำงานอยู่แล้วปิดไป เริ่มต้นคือบริษัทของ “คุณดู๋ สัญญา คุณากร” รายการ ที่นี่หมอชิต ไม่ใช่หยุดรายการ แต่ปิดบริษัทไปเลย เพราะไม่สามารถต่อสู้กับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแต่รายได้กลับลดลง เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือเขาต้องปิดบริษัท เช่นเดียวกับ “ป๋ากิ๊ก เกียรติ กิจเจริญ” ก็ปิดบริษัทไปเมื่อไม่กี่เดือนนี้ ปิดหมด จ่ายเงินค่าชดเชยให้กับพนักงาน เพราะไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นได้ เมื่อมาถึงบริษัท JSL เรามาพิจารณาดูว่าถ้าเรายังดำเนินการอยู่ต่อไปเราคงต้องปิดบริษัทเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่อาจจะไม่ได้เป็นข่าวแต่ก็ล้มหายจากการเป็นผู้จัดฯ ไป
ที่ผ่านมาเราปฏิบัติตามกฎกติกาที่สถานีได้กำหนดไว้ คือ ถ้าสัญญาหมดและเราจะยุติการเช่าเวลาต้องแจ้งก่อนล่วงหน้า 1 เดือน สัญญาของเราจะหมดในเดือนธันวาคม ซึ่งเราจะต้องแจ้งอย่างช้าที่สุดคือ 1 ธันวาคม เขาต้องได้รับทราบหมดแล้วว่าเราจะไม่ต่อสัญญา
เหตุผลที่เลือก PPTV เพราะ JSL พยายามหาทางดิ้นรนที่จะพ้นจากวิกฤติ เราคุยกับหลายช่อง ทุกคนอยากได้รายการของ JSL ทั้งสิ้น แต่หลายๆ ที่ก็เป็นแบบไทม์แชร์ริ่ง ซึ่งเราก็ต้องขายโฆษณาแข่งกับช่องอยู่ดี มันก็ไม่ตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติที่เราเผชิญอยู่ เราเข้าไปคุยกับ PPTV ว่าเราลำบากนะ PPTV สนใจไหม เขาก็เสนอทางเลือกมาว่าธุรกิจทำได้หลายทาง หนึ่งคือเช่าเวลาเขา สองทำไทม์แชร์ริ่ง และสามคือรับผลิตรายการให้เขา โดยเขาเป็นผู้ลงทุน เป็นผู้หาโฆษณาเอง ซึ่งข้อที่สามตอบโจทย์ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวิกฤติ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เซ็นสัญญาผูกมัดกับ JSL เราสามารถไปผลิตรายการกับที่อื่นได้ เราถือว่านี่คือเงื่อนไขที่ใจกว้างที่สุดแล้ว เราจึงตกลงกัน แต่ในการตกลงกันเราก็ไม่ได้ทราบล่วงหน้าว่าช่อง 7 จะยกเลิกสัญญา เพราะถ้าเราทราบก่อนล่วงหน้าเราคงไม่ผลิตรายการเอาไว้ ปัจจุบันรายการที่ผลิตไปก็ไม่ได้ออกอากาศเลย มีความเสียหายหลายสิบล้าน เราเพิ่งตกลงกันได้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน
เมื่อตกลงกันได้แล้วว่าจะไปแน่ๆ และ PPTV ก็เปิดประตูรับเราแล้ว ก็มีการไปแจ้งกับทางช่อง 7 ตามกติกาต้องแจ้งล่วงหน้า 1 เดือน ได้รับนัดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ดิฉันถือจดหมายไปเองเพราะเราถือว่าไปลามาไหว้ และไปยื่นหนังสือ ซึ่งบอกก่อนล่วงหน้า 40 วัน และคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะตอน “คุณกิ๊ก” กับ “คุณดู๋” ไปก็ให้ไปโดยดี ก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหากับทาง JSL
หลังจากที่แจ้งเสร็จแล้ว หลังจากนั้นเขาก็อินฟอร์มให้เรายกเลิกรายการ คือบอกเราล่วงหน้าก่อน 2 วัน แจ้งวันพฤหัสบดี แต่วันเสาร์เราต้องออนแอร์รายการ แต่ก็ไม่ได้อะไร เพราะในสัญญาเขียนไว้ว่าเขาสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรายการได้โดยฉับพลัน เขาก็ไม่ได้ผิดอะไร เขาก็ทำถูกต้องทำสัญญา สัญญานั้นก็เขียนโดยคนที่เขาว่าจ้างเรา ความจริงความเป็นธรรมมันอยู่ในสัญญา แต่อันนี้สัญญามันอยู่เหนือความเป็นธรรม ความเสียหายนี้เกิดขึ้น 6 เทป มูลค่าความเสียหายประมาณ 20 ล้าน เหตุผลของการยกเลิกสัญญาคือเขาบอกว่าจะหารายการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์มาลงแทน
หลายคนมองว่า JSL กับช่อง 7 จบไม่สวย ในฐานะที่อยู่ในวงการมา 40 ปี JSL ไม่เคยเป็นผู้ทรยศหักหลังใคร เราอยู่ในวงการมีแต่มิตร มีแต่เพื่อน JSL ไม่เคยไปปล้นรายการของเพื่อนฝูง ไม่เคยไปแย่งเอารายการของเพื่อนฝูง JSL เริ่มต้นจากช่อง 5 ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงอยู่ตลอด แต่ที่ย้ายจากช่อง 5 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารกันอยู่ตลอด และรายการของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงเวลาอยู่ตลอด จนทำให้การที่อยู่ตรงนั้นเวลามันไม่นิ่ง สมัยก่อนเราก็อยู่กับช่อง 7 และช่อง 5 ไม่เคยไปไหน
32 ปีอยู่กับช่อง 7 ไม่เคยเปลี่ยนใจ ไม่เคยไปไหนเลย จะมีก็คือทำกับช่อง 9 แต่กับช่อง 9 คือคนละสตอรี่ เราไม่ได้ไปทำรายการบันเทิงให้กับช่องอื่น ไม่ได้เอา “กิ๊กดู๋ฯ” ไปทำกับช่องอื่นเลย อยู่กับช่อง 7 ตลอด สิ่งที่ช่อง 7 ได้จาก JSL ไม่ใช่แค่ JSL เป็นผู้จัดฯ ยืนยาว แต่เรามีผลงานรายการที่มีเรตติ้งมาโดยตลอด เราสร้างคนสร้างรายการมา จะเห็นได้ว่าหลายๆ คนเป็นศิษย์ JSL เพราะฉะนั้นการทรยศต่อผู้มีพระคุณ ต่อเพื่อนฝูง เราไม่เคยมี
ตลอด 32 ปีที่เราอยู่กับสถานีไม่ใช่ว่าเรารุ่งโรจน์ตลอด มันมีตกต่ำ ภาวะเศรษฐกิจ ตกต่ำ มันไม่ใช่ว่าได้อย่างเดียว เสียก็เยอะ แต่เราก็ไม่เคยทิ้งช่อง 7 ไปไหน เรายืนยันในความจงรักภักดี ความรู้สึกกตัญญูรู้คุณมันอยู่ในหัวใจเราโดยตลอด เพียงแต่ในขณะนี้มันไม่สามารถที่จะต่อสู้ไปได้ เพราะช่อง 7 ไม่มีนโยบายอย่างช่องอื่นๆ เขามีกัน เขามีนโยบายอย่างเดียวคือ ขายโฆษณา ขายเวลา เราจึงไม่สามารถอยู่ตรงนี้ได้แล้ว 2 ปีกว่าที่เราต้องต่อสู้มา
ทิศทางของ JSL ต่อจากนี้เรามีอิสระ ปีหน้าเราจะขยายงานไปทุกช่อง เราจะเปลี่ยนสภาวะจากผู้ผลิตรายการที่หาโฆษณาเอง เปลี่ยนเป็นคอนเทนต์ดีไซเนอร์ เราดีไซน์ให้กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ปีหน้าเราจะบุกเรื่องของละครด้วย เพราะเรามีทีมงานดีๆ มีคนเขียนบทดีๆ โฆษณา สารคดี เราก็ทำ จะทำให้หลากหลายขึ้น นี่คือการขยายอาณาจักรของ JSL ให้กว้างขึ้น 32 ปีที่ช่อง 7 ให้อะไรกับเรามานั้น ชาว JSL ทุกคนไม่เคยลืม ทุกคนจะจารึกไว้ในหัวใจ และถ้ามีโอกาสที่เราจะได้ทำอะไรให้กับช่อง 7 อีกมันก็เป็นสิ่งที่ดี ยินดีอยู่แล้ว ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียด ไม่ได้มีความรู้สึกเลวร้ายอะไรกับเขาเลย JSL ไม่คิดจะทอดทิ้งผู้มีพระคุณไปอย่างฉับพลันทันใด แต่เพื่อแก้วิกฤติ เพื่อทำให้เรารอด เพื่อทำให้เราไม่ต้องปิดบริษัทไป และยังยืนอยู่ได้ เพื่อที่จะขยายธุรกิจให้กว้างขวางมากขึ้น เราจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้ เรายังต้องรับผิดชอบพนักงานอีกเป็นร้อยๆ ชีวิต ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ JSL ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โต เงินสามารถหาได้ วันนี้ขาดทุนพรุ่งนี้อาจจะหามาใหม่ได้ แต่ที่เราเสียใจคือคนที่ไม่รู้อะไรด้วย เช่น สปอนเซอร์ ซึ่งทำสัญญากับเราไปถึงสิ้นปีของเขาแพลนงบประมาณไปหมดแล้ว มันทำให้เขาเสียหายมาก เขาไม่ได้มาอยู่ในเหตุการณ์นี้
แต่ด้วยความที่ทางสถานีเขาพูดว่า “ไม่ไปวันนี้ ก็ต้องไปวันหน้า เพราะฉะนั้นไปวันนี้เลยดีกว่า” อันนี้คือคำพูดที่ดิฉันรู้สึกเสียใจ ไปวันหน้าไม่มีใครเสียหาย ไม่เสียความรู้สึก แต่ไปวันนี้มีคนเสียหาย สปอนเซอร์เสียหาย สองคือคนดูเสียหาย เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย ทุกวันนี้ยอดคนดูเพิ่มขึ้น หลังจากที่รายการไม่ได้อยู่ในสถานียอดคนดูผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น 400 เท่า เพราะเขายังรักและยังติดตาม เพราะฉะนั้นการตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่อย่าให้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ อีกเลย ทุกคนต้องช่วยกัน สิ่งที่ JSL มาพูดในวันนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อทำให้ภาพของ JSL ดีขึ้น แต่ดิฉันพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจโทรทัศน์ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง อยากให้ชาววงการโทรทัศน์มีความเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารีต่อกัน เพื่อความอยู่รอดของทุกคน