เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “ออม บลูเบอร์รี่” กว่าจะมีวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง

เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “ออม บลูเบอร์รี่” กว่าจะมีวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง

2

เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “ออม บลูเบอร์รี่” กว่าจะมีวันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง

     เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสาวเสียงดี มากความสามารถ สำหรับลูกทุ่งสาว “ออมมี่ เพลินศิลป์ เกตุแก้ว” หรือที่เรารู้จักเธอกันในนาม “ออมมี่ บลูเบอร์รี่” เจ้าของเพลงฮิตมากมาย ความฝันและชีวิตในวัยเด็ก และเส้นทางการเข้าสู่วงการบันเทิงของเธอจะเป็นอย่างไร ไปฟังจากปากเจ้าตัวกันเลยค่ะ

ออม บลูเบอร์รี่ ก่อนจะดัง ชีวิต เรื่องราว ร้องเพลง

     ชีวิตในวัยเด็ก คือ คุณแม่เริ่มรู้เรามีความสามารถในเรื่องดนตรีตั้งแต่เด็ก เริ่มยืนได้ ซึ่งมันแปลกมากที่บ้านไม่มีใครเป็นแบบนี้เลยทั้ง 3 คนนี้ ทั้งพี่สาว น้องชายไม่มีใครเป็นเหมือน “ออม” เลยคิดว่า “ออม” เป็นเด็กไฮเปอร์ไปแล้ว ด้วยแม่เป็นครู คุณพ่อก็ทำงานรัฐวิสาหกิจ เขาจะมีเวลาให้เราช่วงเสาร์-อาทิตย์ เป็นกิจกรรมครอบครัว จันทร์-ศุกร์ทำงาน เราก็จะอยู่กับพี่เลี้ยง มีพี่เลี้ยงที่เป็นลูกศิษย์คุณแม่มาช่วยเลี้ยง ลูกศิษย์เขาเปิดเพลง คือสิ่งที่ทำให้รู้ว่าชื่อ เพลินศิลป์ เป็นคนที่ชอบดนตรีมากๆ เริ่มจากชื่อเลย เป็นชื่อที่คุณพ่อตั้งให้ ชื่อเล่นชื่อ “ออม” เพราะตอนนั้นเศรษฐกิจไม่ดี ให้ชื่อว่าเก็บเงินเก็บทอง

ออม บลูเบอร์รี่ ก่อนจะดัง ชีวิต เรื่องราว ร้องเพลง

     พอเราพูดได้เราก็เริ่มฟังเพลง แล้วก็ทำตาม แม่ก็ตกใจ เด็กที่เพิ่งพูดได้ทำตามได้ ซึ่งมันไม่ปกติหรือเปล่า หรือเป็นพรสวรรค์หรือเปล่า สังเกตมาเรื่อยๆ แม่รู้ว่าเราชอบเต้นมาก ชอบร้องเพลงมาก ตอนที่เริ่มยืนได้ 2-3 ขวบ เพลงแรกที่เต้นได้คือ เพลงชาติ ทุกคนเปิดเพลงแล้วออมจะลุกขึ้นเต้นเลย พอเข้า 4-5 ขวบ เข้าอนุบาลไปเกาะรั้วดูคุณครูสอนรำกับเพื่อนๆ คนอื่น บอกแม่ว่าอยากไปเต้นแบบนี้ อยากไปรำแบบนี้ คือทำกิจกรรมตั้งแต่อนุบาลเลย ที่นครศรีธรรมราช แม่ก็เลยพาเข้าไปเลย แม่รู้ตัวว่าชอบสายนี้ พอเข้าอนุบาลได้เริ่มทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ออมเริ่มร้องเพลงตอน ป.2 พ่อเป็นรัฐวิสาหกิจ มีร้านคาราโอเกะที่นครศรีธรรมราชด้วย เลยต้องมีวิดีโอ พอเปิดเราก็ร้องเพลงเล่นๆ แม่เลยบอกเด็กตัวเล็กๆ แค่นี้ทำไมหัดร้องเพลง ขนาดแม่โตกว่ายังร้องผิดคีย์ เลยให้ร้องมาเรื่อยๆ ตอนนั้นยังไม่มีลูกคออะไร ไม่เคยไปเรียนโรงเรียนสอนร้องเพลงหรือเรียนเต้นมาก่อน คือมาจากพรสวรรค์ของตัวเองแท้ๆ

ออม บลูเบอร์รี่ ก่อนจะดัง ชีวิต เรื่องราว ร้องเพลง

      เส้นทางก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเริ่มจากตอนประมาณมหา’ลัยปี 2  ได้เข้าร่วมประกวดโครงการดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ ซึ่งเป็นโครงการของบริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ เป็นโครงการที่ดีมาก ที่จะคัดเลือกตัวแทนของภาคแต่ละภาคมาทำกิจกรรม แล้วก็ประกวดด้วยกัน เป็นโครงการระดับประเทศ เป็นการโหวตด้วยตอนสุดท้าย

ออม บลูเบอร์รี่ ก่อนจะดัง ชีวิต เรื่องราว ร้องเพลง

      ช่วงคัดเลือกก็จะมีกรรมการมาคัดเลือกแต่ละภาคมาด้วยกัน เข้าบ้านคนรักลูกทุ่ง ประกวดเสร็จไปได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ของรุ่นที่ 2 คนที่ได้ชนะเลิศของรุ่น 1 คือ “น้องหนูเล็ก เบญจวรรณ” รุ่นที่ 2 “ออม” ได้ที่ 2 พอจบรุ่น 2 มีพี่ทีมงานบอกมีผู้ใหญ่ทางอาร์สยามเขาติดต่อมาอยากให้เราไปออดิชั่นดู แต่ตอนนั้นทางผู้ใหญ่ติดต่อเรามาคนเดียว ตั้งแต่ก่อนที่เราจะประกวดจบ เพราะว่าเราเป็นนักร้องใต้ ตอนนั้นนักร้องใต้อาร์สยามคือบูมมาก ตอนนั้น “กระแต” เพลง “เปิดใจสาวแต” กำลังบูม เราก็ชอบร้อง ชอบเต้น ก็เลยลองมาออดิชั่นให้ท่านดูก่อนเพื่อนๆ อีกประมาณ 10-11 คน

ออม บลูเบอร์รี่ ก่อนจะดัง ชีวิต เรื่องราว ร้องเพลง

       พอเราออดิชั่น ทาง “พี่หนู มิเตอร์” เป็นคนออดิชั่นเราในครั้งแรก ตอนนั้นออดิชั่นผ่าน ทางผู้ใหญ่ก็เลยเสนอโครงการพานักร้องทั้ง 11 คนมาด้วย เป็นดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ อัลบั้มที่ 1 คือเราจะดูฟีดแบ็คก่อน ออกเพลงมาคนละ 1 เพลง แต่ยังไม่ได้กระแสตอบรับเท่าที่ควร เพราะยังเป็นเด็กใหม่อยู่ แต่ระหว่างที่เราเริ่มร้องเพลง เราก็ได้โอกาสจากบริษัท มีเดีย ได้เล่นละครกับเขาด้วย 1 เรื่อง คือ “เฮฮาหน้าซอย” อีกเรื่องเล่นเป็นน้องนางเอกให้กับทางช่อง 7 ด้วย เรื่อง “รักนี้เคียงตะวัน” แล้วก็ร้องเพลงประกอบด้วย

ออม บลูเบอร์รี่ ก่อนจะดัง ชีวิต เรื่องราว ร้องเพลง

      เราเริ่มออกเพลงครั้งแรก เราท้อมาก ตอนนั้นคือออกเพลงมา เราไม่มีงานเลย มีแต่งานฟรีเราก็ไป พอวันหนึ่งทาง “พี่เณร ศุภชัย นิลวรรณ” ชวนน้องๆ ที่ไม่ได้มีงานอะไรมากไปกิจกรรมปาร์ตี้ของทางอาร์สยาม ที่จังหวัดระยอง มี น้องหนูเล็ก, พี่โบว์, น้องลูกน้ำ 4 คนตอนนั้น “พี่เณร” ก็เลยให้ 4 คนขึ้นร้องเพลงบนเวที เราจัดชุดกันดีกว่า เราจัดการเต้นนะ “พี่ออม” เต้นข้าง “พี่โบว์” เต้นข้างหลังเพราะสูง “น้องลูกน้ำ” เต้นข้าง “พี่โบว์” พอเต้นเสร็จมีท่อนนึงเราต้องวนเป็นวงกลมนะ คือเราจัดเซ็ตเต้นกันจริงๆ เขาให้ร้องเพลงเฉยๆ แต่เราอยากร้อง อยากเต้น จนพี่เณรบอกว่า น่าจะจับมามัดรวมกันนะ (ยิ้ม) ก็เลยเกิดเป็นโครงการ “บลูเบอร์รี่” ขึ้นมา ซึ่งเป็นโครงการแบบฟลุคๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นมาแบบฟลุคๆ พี่เณรก็เลยเข้ามาถามพวกเราว่าอยากลองไหม เพลงเดี่ยว แต่ละคนไม่ดังแล้ว ก็ไม่มีกระแสอะไรเลย งั้นเราลองเอา 3 คนนี้มาทำใหม่แบบแปลกๆ ดู เอาแบบแหกๆ วงการบันเทิงไปเลย เราก็คิดในจะดีเหรอ เดี๋ยวเขาไม่ยอมรับ ตอนนั้นบุคลิกของเรามันดูแก่น พี่เณรบอกว่าไม่ลองไม่รู้ ลองถ้ามันดีก็คือฟลุคก็ดี ถ้าไม่ดีเราก็แค่เปลี่ยนใหม่

ออม บลูเบอร์รี่ โยชิ โยชิโอะ นากาตะ ความรัก แต่งงาน เลิก

      อีกไม่กี่เดือนต่อไป พี่เณรก็เรียกทางโปรดิวเซอร์มาดูตัวเรา ซึ่งโปรดิวเซอร์เป็นทีม “พี่บั่ง” จริงๆ ทีมพี่บั่งจะไม่ได้ทำลูกทุ่งมาก่อน เขามาจับลูกทุ่งครั้งแรก ซึ่งลูกทุ่งที่พี่เณรอยากให้ทำคือ ลูกทุ่งเกาหลี เพราะตอนนั้นกระแสมาแรงมาก สังเกตได้จากเสื้อผ้า หน้า ผม ของ “บลูเบอร์รี่” ตอนนั้น (หัวเราะ) ประมาณ 8 ปีที่แล้ว ก็เลยพูดคุยกันตอนนั้นยังไม่ได้เพลงเลย ยังคิดอะไรกันไม่ออก เพราะมันเป็นการแหวกแนวครั้งแรกในวงการลูกทุ่งไทยที่จะทำออกมาแล้วโดนด่าหรือเปล่า ต้องลุ้นกันเอาเอง พี่เณรเลยบอกว่า ไหนๆ แล้วเราก็สู้ไปจนสุดแล้วกัน เราจะทำลูกทุ่งป๊อป บลูเบอร์รี่ก็เลยเป็นเบอร์แรกของค่ายอาร์สยามที่ทำลูกทุ่งป๊อปและลูกทุ่งเกาหลีขึ้นมา

ออม บลูเบอร์รี่ โยชิ โยชิโอะ นากาตะ ความรัก แต่งงาน เลิก

        แล้วก็มาขั้นตอนของการเลือกเพลง จริงๆ เพลง “ชิมิ” เป็นการเล่นระหว่าง “พี่ออม” กับ “พี่ปู” พี่เขาถามว่าเพลงโอเคไหม เพลงแรกที่เราอัดมันไม่ใช่เพลง “ชิมิ” มันคือ “สงสัยอยากได้แฟน” พี่ปูเลยส่งมาให้ว่าเพราะไหม เราก็บอกเพราะมาก เพราะว่าหนูสวยชิมิ ชิมิ คือถามเขากลับ พี่ปูก็เลยเอาคำที่เราเล่นกับเขาตลอดมาเป็นเพลง ซึ่งวันแรกที่เราฟังคือเพลงอะไร มันมีด้วยเหรอเพลงที่ท่อง (ร้องเพลง) (ท่อนฮุกเพลง ชิมิ : ที่เธอตรงเข้ามาทักเพราะฉันน่ารัก ชิมิ ชิมิ) เพลงแบบนี้มันร้องได้ในวงการบันเทิงไทยด้วยเหรอ ยังงงตัวเอง มันคงไม่โอเคแน่เลย แฟนเพลงคงจะไม่รับแน่เลย สงสัย

ออม บลูเบอร์รี่ โยชิ โยชิโอะ นากาตะ ความรัก แต่งงาน เลิก

       ตอนนั้นอัดมา 3 เพลง คือ “สงสัยอยากได้แฟน” (ร้องเพลง) แล้วก็มีเพลง “ชิมิ” และเพลง “มีเวลาโทรมาด้วยหรอ” แล้วผู้ใหญ่ต้องเคาะอีกทีหนึ่งว่าเพลงไหนจะเป็นเพลงโปรโมท ซึ่งนึกในใจกันอยู่ 3 คนว่า สงสัยอยากได้แฟน ได้แน่เลย เพราะ ชิมิ ถ้าเป็นคนทั่วไปไม่เคยฟังแนวนี้ มันต้องพังแน่เลย คนจะฟังได้ไหม จู่ๆ พี่เณรก็เคาะเพลง ชิมิ เราก็ภาวนาในใจ ขอให้รอด เพราะรอบที่แล้วเราก็เฟลกันมา

ออม บลูเบอร์รี่ โยชิ โยชิโอะ นากาตะ ความรัก แต่งงาน เลิก

      สุดท้าย 1 วีคผ่านไป เพลงปล่อยไปได้ประมาณ 2 วัน ติดเรตติ้งกับ FM 95 ไต่อันดับมาจนเข้าอันดับ จากเพลงที่โดนขอมากที่สุด อันดับที่ 20 มา 10 มา 8 สุดท้ายภายใน 1 วีค เราติดอันดับที่ 1 ในการโทรขอเพลง แล้วทุกอย่างก็บูมขึ้นเลย ทุกอย่างได้มาจากความฟลุค ทั้งเนื้อเพลง ทั้งทีมงาน ทั้งชื่อของเรา ทำให้เราเกิดมาเป็น “บลูเบอร์รี่” ในทุกวันนี้

ออม บลูเบอร์รี่ โยชิ โยชิโอะ นากาตะ ความรัก แต่งงาน เลิก

      ชีวิตที่ผ่านมามันมีทั้งความสุข ความท้อ มีทั้งน้ำตา ถึงจะออกเพลงมา ถึงเพลงจะติดอันดับ เราก็ไม่ได้มีงานมากเท่าที่ควร เพราะคนยังไม่ได้รู้จักเรามาก เราได้ออกทีวีทางรายการของช่อง 7, 7 สีคอนเสิร์ต เราถึงเริ่มจะมีงาน งานหนึ่งงานค่าตัวเราน้อยมาก ต้องแบ่งกัน 3 คน บางงานสตาร์ทแค่ 5,000 เอง ต้องหาร 3 ก็ได้คนละ 1,500 ก็ไป เพราะเราคิดว่าเป็นการเปิดเรา พอเริ่มมีกระแสมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าตัวก็ดีขึ้น เพิ่มขึ้น พอเพลงเราดัง เพลงแรก เพลงที่ 2 ตามมาก็คือเพลง มีเวลาโทรมาด้วยหรอ ก็ดังอีก เพลงที่ 3 เพลงเจ้าที่แรง ก็ดังอีก เพลงโทรจิก ก็ดังอีก คบไว้แก้เหงา ก็ดังอีก ก็กลายเป็นอัลบั้มหนึ่งขึ้นมา ถือว่าเป็นความโชคดีในตรงนั้น และความพยามความมุ่งมั่นของพวกเรา เพราะทุกคนไม่ได้เต้นเก่งเลย ก็จะมีแค่น้องหนูเล็กที่ได้เรียนเต้นมาบ้าง เราไม่เคยผ่านการเรียนเต้นมาเลย ส่วนพี่โบว์ก็จะเต้นไม่ค่อยเป็นเลย แต่ทุกคนจูนมาอยู่ในที่เดียวกัน ก็เลยกลายเป็นความรักความผูกพันของบลูเบอร์รี่

       ตั้งแต่เข้ามาในชีวิตของเราก็มีแต่เสียงเพลง มีไอดอลเป็นใครบ้าง จริงๆ ไอดอลของเราในการร้องเพลงมีหลายคนเลย อย่างไอดอลตอนนั้นในการประกวด ต้องมี “แม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์” เป็นไอดอล เพราะว่าจากประวัติแม่ผึ้ง ท่านอ่านหนังสือไม่ออก แต่ท่านสามารถจำเนื้อเพลง และร้องเพลงได้หลายเพลงมาก และสังเกตดีๆ ว่าคนที่ร้องเพลงของแม่ผึ้งได้เป็นคนที่ต้องฝึกฝน เพราะว่าแม่ผึ้งมีเทคนิคในการร้องที่ดีมากๆ ท่านไม่ได้ร้องแบบนักร้องประกวด ที่ตะเบ็งหลอดเสียงเหมือนคนอื่น ท่านร้องด้วยฟีลลิ่ง ท่านร้องด้วยอารมณ์และอินเนอร์ด้วย มันทำให้เพลงของท่านมีความรู้สึกอยู่ในเพลง เจ็บก็คือเจ็บ ดีใจก็คือดีใจ คือท่านมีเทคนิคในการร้องและการสอนให้คนรุ่นหลังได้ติดตามที่ดีมาก แม้ท่านจะไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว แล้วก็มีอีกหลายๆ ท่านเลยที่เป็นพี่ๆ ในวงการบันเทิง อย่างเช่น “พี่ฮาย อาภาพร” ก็เป็นอีกหนึ่งไอดอลที่เราเห็นว่าพี่เขาตอนนั้นเป็นคนขยันและเป็นคนสู้ เป็นคนที่พัฒนาตัวเองตลอด

      ย้อนกลับไปเราเคยคิดไหมว่าเราจะมีชื่อเสียงที่โด่งดังจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นไม่เคยคิดเลยว่าเราจะดัง เราคิดว่าคงหมดหวังแล้ว เพราะเราผิดหวังมาหลายๆ เรื่องกว่าจะออกเพลง เพลงก็ไม่ดี คอนเสิร์ตเราก็ไม่มี วันแรกที่แม่เห็นชุดคอนเซ็ปต์ แม่บอกว่าสั้นแบบนี้ ไม่ดังหรอก เราก็ร้องไห้เลย ทำไมแม่พูดแบบนี้ แกไม่อยากให้เราโป๊ ไม่อยากให้เราใส่กางเกงขาสั้นแล้วร้องเพลง เราก็น้อยใจ แต่พ่อก็โทรมาบอกว่า ไม่เป็นไรลูก จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ลองก่อน ให้กำลังใจเรา ฝ่าฟันตรงนี้มาได้

      วิธีการรับมือกับข่าวที่เกิดกับตัวเองอย่างไรบ้าง อย่างแรกเลยในยุคนี้ ถ้าเป็นยุคเก่าที่เราอยู่กัน 3 คนจะไม่รุนแรงเท่ายุคนี้ เพราะตอนนั้นโซเชียลไม่ได้มีผลมาก ตอนนั้นเราเจอข่าวช็อกเหมือนกัน เพลง ชิมิ กำลังดัง 
ทางชมรมลูกทุ่งเขาจะแอนตี้เรา ว่าเราทำลายวัฒนธรรมความดั้งเดิมของลูกทุ่งเกือบหมดเลย คือเราเปลี่ยนลูกทุ่งยุคใหม่หมดเลย นั่งจับมือกัน 3 คน โดนผู้ใหญ่ด่า สิ่งที่เราทำมันแฮปปี้ ทางผู้ใหญ่เขาไม่เห็นด้วยกับเราเท่าที่ควร แต่โชคดีวันนั้น “พี่เณร” ให้กำลังใจเราดีมากเลย

     ทิ้งท้ายฝากขอบคุณแฟนเพลงที่ติดตามผลงาน “บลูเบอร์รี่” ขอฝากขอบคุณขอบพระคุณแฟนๆ มากเลยนะคะ หลายท่านที่ยังติดตาม “บลูเบอร์รี่ อาร์สยาม” อยู่ ถึงวันนี้เราจะไม่ได้เป็น “บลูเบอร์รี่ อาร์สยาม” แล้ว แต่คำว่า “บลูเบอร์รี่” ยังอยู่ในใจเรา ยังอยู่ในใจแฟนๆ ทุกคน คือสิ่งที่ “ออม” แฮปปี้มากๆ แล้วก็มีความสุขมากๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ยังติดตามผลงานเรา ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ร่วมงานทั้ง 3 คน แม้พี่โบว์จะไม่ได้ร้องเพลงเป็นบลูเบอร์รี่
      ต่อ ทุกคนก็ยังติดตามตั้งแต่ “ออม” ประกวดตั้งแต่ตอนที่อยู่มัธยมเลย ต้องขอบพระคุณมากๆ ที่คอยเป็นกำลังใจ คอยเชียร์ ตลอดเวลา ขอบคุณมากๆ ค่ะ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Comments