“ปุ๊กลุก” แฮปปี้เซ็นสัญญาพีพีทีวี อุบตอบข่าวลือฟันค่าตัว 15 ล้าน
โผล่ร่วมงานกับทางช่อง PPTV สำหรับสาว “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” หลังหมดสัญญากับทางต้นสังกัด ล่าสุดมีโอกาสเจอตัวเจ้าตัวก็เปิดใจว่า
ก็ขอบคุณผู้ใหญ่นะคะที่ให้โอกาส เป็นปีที่จะได้เห็นผลงานใหม่ๆ ที่หลากหลาย อะไรที่ทำให้ตัดสินใจหรออย่างแรกเลยขอบคุณผู้ใหญ่ช่อง 7 ที่ให้โอกาส แล้วก็สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจ ต้องบอกว่าจริงๆ นักแสดงมันมีจุดที่ทำงานมานาน เรารู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่เรารู้สึกว่า อยากลองทำอะไรใหม่ๆ มากขึ้น ให้เห็นความสามารถอะไรใหม่ๆ ของเรามากขึ้น เพราะว่าหนูเล่นมาทุกรูปแบบแล้ว ถึงเวลาที่มันเป็นไทม์มิ่งที่ดี
ได้คุยปรึกษากับทางผู้ใหญ่ช่อง 7 ก่อนไหม จริงๆ มีคุยๆ ปรึกษาปกติเลยก็เข้าไปบอกกับทางผู้ใหญ่ จริงๆ ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมาเจอพีพีทีวี ก็คิดไว้แล้วล่ะ ว่าวันหนึ่งคงถึงจุดหนึ่ง จุดที่เรารู้สึกเราอยากทำอะไรที่มันใหม่ขึ้น ก็รู้สึกว่าบทมันก็วนมาในแบบที่เราไม่รู้ว่าเราจะเล่นอะไรยังไง แล้วหลายหลายคนก็บอกว่า ปุ๊กลุ๊กเปลี่ยนบ้างได้มั้ย คือเราก็รู้สึกว่าเราจะอยู่ตรงนี้ได้อีกนานแค่ไหน แต่ว่าที่ผ่านมาทางช่อง7 ดูแลดีมากแต่เราแค่รู้สึกว่าอยากหลากหลายมากขึ้น แล้วก็วันหนึ่งเราได้มีโอกาสมาเจอตอนทางพีพีทีวี มีงานที่หลากหลายมากขึ้นเขาก็ให้โอกาสว่าถ้าอย่างนั้นปุ๊กเล่นที่นี่ได้ แต่ว่าถ้าอยากจะเล่นที่อื่น ช่องอื่น หรือกลับไปรับใช้ทางช่อง7 ปุ๊กสามารถทำได้นะ มันดีมันเป็นสิ่งที่หนูต้องการเลย หนูรู้สึกว่า ถ้าอยู่ที่ไหนแล้วมันทำให้หนูทำงานหลากหลายน้อยลง ก็รู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์เรา เพราะสิ่งสำคัญในการที่เราย้ายที่ทำงาน ก็คือการที่เราจะทำในงานที่มันหลากหลายมากขึ้น ตามในแบบที่เรารู้สึกเรารักอาชีพนี้ และเราก็อยากให้แฟนๆ ได้เห็นผลงานที่มันหลากหลายมากขึ้น
ตอนนี้ก็เซ็นสัญญาเข้าช่องเลย เป็นนักแสดงสังกัดช่องพีพีทีวีค่ะ และรับงานอื่นได้ กลับไปรับใช้ช่อง7 ได้ด้วยช่อง7 ให้โอกาส
ส่วนที่มีข่าวออกมาว่า ทางพีพีทีวี ให้มูลค่าค่าตัวเรา 15 ล้าน อันนี้คือหนูอยู่วงการมาขนาดนี้เนอะ หนูว่าเงินมันก็ซื้อเราไม่ได้ ศักดิ์ศรีของเรา อาชีพของเรา ในสิ่งที่เรารัก ถ้าเกิดว่าเราได้เงินจริงๆ แต่เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก หรือแพสชั่นที่เราอยากทำจริงๆ เงินคงไม่ใช่ทั้งหมดของหนู
กระแสข่าวออกมาว่าเราเข้าๆ ออกหลายรอบมากจนกว่าจะลงตัวเรื่องตัวเลข จริงๆ ก็ต้องบอกว่าเรื่องค่อนข้างเงียบ เพราะตัวหนูไม่อยากให้กระทบกับใครเลย อย่างแรกเราทำเพราะอะไร เพราะเราอยากทำงานที่มันหลากหลายขึ้น เพราะฉะนั้นอะไรที่มีผลกระทบกับใคร ใครหลายคนในรอบตัวหนูเค้าไม่ทราบ แล้วก็ขอโทษด้วยไม่อยากให้เรื่องมันเป็นเรื่องใหญ่ แค่รู้ว่าเราทำอะไรไม่อยากให้มีผลกระทบที่ไม่ดีกับใครเลยแค่นั้นเอง มีการพูดคุยกันจริง แต่วันที่มีข่าวออกมาวันแรก บอกว่าเซ็นแล้วแต่จริงๆ ยังไม่ได้เซ็น
ก็ปรึกษาผู้ใหญ่และพี่ที่เราเคารพรักในชีวิตเราค่ะ แต่ก็ไม่ได้บอกเยอะมาก เพราะเรื่องนี้มันสำคัญ อุบบอกรายละเอียดเซ็นสัญญากี่ปี บอกอะไรที่มันเป็นสัญญาก็เก็บไว้ไม่อยากลงรายละเอียด รายละเอียดเรื่องละครกี่เรื่องต่อปีก็บอกไม่ได้แต่ก็จะเห็นหนูในละครเรื่องแรกแรกของพีพีทีวีแน่นอน แต่ว่าก็สามารถร่วมงานกับค่ายอื่นได้ ขอบคุณช่อง7 ก่อนที่ได้เปิดโอกาสให้หนูทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วก็ขอบคุณพีพีทีวี ที่ให้หนูได้เล่นได้ทุกค่ายนะ
งานอื่นๆ รวมถึงพรีเซ็นเตอร์ของสายการบินด้วยไหมอันนี้ต้องถามทางผู้ใหญ่คือในส่วนของตัวหนูเอง ก็เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ พีพีทีวี
ฟีดแบ็คที่กลับมาหาเราหลังจากที่เปิดตัวกับ PPTV เป็นอย่างไรบ้าง ก็ตื่นเต้น รู้สึกว่าเป็นปีที่หนูต้องเหนื่อยมากขึ้นอยู่แล้ว แต่ว่าหนูรู้สึกว่าสิ่งหนึ่งคืออาชีพทุกๆ อาชีพเราไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลาที่จะได้ทำอาชีพนั้นอีกนานแค่ไหน แต่อย่างน้อยอาจจะเป็นก้าวที่เราเหนื่อยมากขึ้นแต่เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก มันท้าทายความสามารถเรามากขึ้น แฟนๆ ที่รักเรา ที่ให้กำลังใจเรามาตลอด จะได้เห็นผลงานของเราหลากหลายมากขึ้น จริงๆปีนี้เป็นปีที่ตั้งใจทำอะไรเพื่อสังคมมากขึ้น หนูรู้สึกว่าหนูมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะว่าแฟนๆที่ซัพพอร์ทและทำให้เราได้มายืนอยู่ตรงนี้ ก็ตั้งใจว่าจะเป็นปีที่ทุกๆ เดือนจะลงไปช่วยเหลือใครหลายๆคนในเรื่องของทุนการศึกษาในทุกๆเดือน เป็นปีที่อยากทำอะไรใหม่ๆเยอะขึ้น มีผลงานใหม่ๆ มากขึ้น
คาดหวังอย่างไรบ้างกับบ้านหลังนี้ คือหนูก็ทำหน้าที่ของหนูอย่างดีที่สุด ในส่วนของบทละครก็มีการพูดคุยกันตามปกติในแบบที่เรารู้สึกว่ามันท้าทายความสามารถของเรา หนูไม่รู้หรอกว่าฟีดแบกของการที่หนูเล่นละครหนึ่งเรื่องออกไปจะเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาหนูเล่นละครเนื่องอะไรหนูก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องได้เรตติ้งเท่านี้ๆ สิ่งที่เรารู้อยู่เสมอ คือเราจะทำอย่างดีที่สุด ถ้าวันหนึ่งคนจะต้องพูดถึงเราในพาร์ทของการทำงานก็ต้องบอกว่าหนูเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้ว
กังวลเรื่องเรตติ้งละครไหม จริงๆ ไม่ได้กังวล ผ่านจุดกังวลมาเยอะแล้ว ก็เล่นละครที่มันท้าทายความสามารถมาเยอะมากๆ บางเรื่องก็คิดว่าผ่านไปได้ยังไง เราก็ผ่านมันมาได้ด้วยความรู้สึกว่าก็ทำแค่เต็มที่ เพราะฉะนั้นในฟีดแบกก็รู้สึกว่าทำเกินไปแล้ว สิ่งที่เราตั้งเป้าคือแค่อยากให้งานมันหลากหลายมากขึ้น นับเรื่องถอยหลังในชีวิตของเราที่เราจะเป็นนักแสดง เราก็อยากจะเล่นเรื่องที่คนคาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่ได้ใช้ความสามารถขยายมากขึ้น
กลัวจะเหนื่อยมากขึ้นไหมกับการที่ช่องยังไม่มีฐานคนดูเรื่องละคร อันนี้หนูพร้อมนะที่จะเหนื่อย หนูขอแค่ สมมุติว่า คือเราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งเราจะอยู่ตรงไหน นานแค่ไหน อาชีพของเราคืออาชีพที่เราให้ความสุขกับคน และเราเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ซื่อสัตย์กับอาชีพของตัวเราเอง เพราะฉะนั้นแล้วหนูไม่ทราบจริงๆ ว่าฟีดแบกมันจะเป็นยังไง เราแค่ทำให้ดีที่สุดเท่าที่นักแสดงคนหนึ่งจะทำได้ แล้ววันหนึ่งถ้าเขาพูดถึงเรา ก็แค่เขาเป็นแบบนี้ เขาเต็มที่ เขาอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เป็นมุมที่ดีที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่นับถอยหลังในชีวิตของเราที่จะเป็นอาชีพนี้ เราทำอย่างดีที่สุดแล้ว
เรียกว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องกระแสหรือชื่อเสียงแล้ว
“หนูว่าการที่เราอยู่ในวงการบันเทิง กระแสมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หลายๆปีที่ผ่านๆมาพี่ๆก็จะรู้ว่าหนูแทบจะเก็บตัวเงียบ เพราะหนูก็ผ่านเรื่องราวอะไรหลายๆอย่างมา แล้วหนูคิดว่าสิ่งหนึ่งที่จะอยู่มั่นคงคือความซื่อสัตย์ เราเป็นนักแสดง เราเต็มที่กับตรงนี้และผลงานของเรามากกว่าที่มันจะมั่นคงและถาวร”
คนอาจจะมองว่าเราทิ้งช่องที่เราแจ้งเกิดมา อันนี้หนูไม่รู้นะว่าฟีดแบ็คของความคิดแต่ละคนเป็นยังไง แต่ก็ต้องบอกว่าการใช้ชีวิตของคนเรา พี่ๆทุกคนก็คงไม่มีใครไม่เคยย้ายที่ทำงาน ถูกไหม คือมันเหมือนแค่เราย้ายที่ทำงานเฉยๆ ความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อช่อง เราไม่เคยลืมว่าวันนี้ฉันอยู่ที่ไหน เรารู้ว่าเราเกิดมาจากช่อง7 เราแค่ย้ายที่ทำงาน แล้วถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสเราก็กลับไปร่วมงานกับเขาได้ เพราะเราก็รู้ว่าเรามีวันนี้ได้เพราะช่อง7 เราแค่ย้ายที่ทำงานเฉยๆ
หลังจากที่ออกมาเรามีโอกาสเข้าไปสวัสดีผู้ใหญ่ทางต้นสังกัดไหม วันที่เข้าไปคุย คือเขาไปสวัสดีปีใหม่ เข้าไปบอกว่าขออนุญาตในการที่เราจะลองทำอะไรใหม่ๆ ก็มีเข้าไปคุย