“เนย” เผยพร้อมปั๊มลูกคนที่ 2 รับ “อคิณ” โตแล้วเลี้ยงยากขึ้น
เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ “น้องอคิณ” ลูกชายสุดหล่อของนักแสดงสาวอย่าง “เนย โชติกา วงศ์วิลาศ” หลังจากที่ลูกชายสุดที่รักกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 ที่ได้ออกมาทำให้ชีวิตอย่างคุณแม่นั้นดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถ้าใครที่ติดตามในอินสตาแกรมจะดูรู้เลยว่าเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากๆ ล่าสุดเจอ “คุณแม่เนย” อุ้ม “น้องอคิณ” ออกงานอีเว้นท์ครั้งแรก เลยขอเข้าไปอัพเดทพัฒนาการสักหน่อย แล้วแพลนที่จะมีทายาทคนต่อไปอีกเมื่อไรกัน
อ่านข่าวต่อ :
ส่องวิถีชาวบ้าน “แม่เนย” พา “น้องอคิณ” กลับบ้านเกิด
ยอมรับว่าเป็นงานแรกที่จริงจังแม่ตื่นเต้นมาก ว่าลูกเราจะยังไง อารมณ์ลูกก็มีหลากหลาย วันนี้เขาก็ให้ความร่วมมือดี งานในวงการมีติดต่อน้องก็มีบ้าง ก็เพิ่งได้เริ่มออกงานกัน ก่อนหน้านี้เนยเองก็ไม่ค่อยจะได้ออกงานเหมือนกัน ตอนนี้น้องขวบกว่าแล้วก็รู้สึกว่าเขาพร้อมแล้ว คุณพ่ออนุมัติแล้ว เพราะน้องเริ่มรู้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ดูจะไม่ค่อยเอาอะไร ส่วนพัฒนาการน้องก็ดีตามวัยเขา ตอนนี้ซนมากไม่ค่อยอยากให้อุ้มนาน จะเดิน ตั้งแต่เดินยังไม่แข็งก็จะวิ่งแล้ว เขาเดินเก่งก็เริ่มซน ที่บ้านก็ระวังกันทุกอย่าง เขาวิ่งเขาไม่เดิน เห็นอะไรเป็นสีๆ เขาก็จะไปจับไปดู เขาอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง อยากรู้อยากลอง เราห้ามเขาจะทำเลย เราก็ต้องประกบเลย เนยอยู่กับเขาตลอดเวลา ช่วยกันดู แต่ภาพรวมก็ไม่ค่อยมีอะไรให้กังวล เพราะเราเองก็สำรวจพัฒนาการเขาตลอด
ซึ่งล่าสุดตนพาน้องหนีฝุ่นไปบ้านคุณยายที่พัทลุง เพราะบ้านแม่อากาศดีมากๆ เขาชอบมาก เขาได้ไปเจออะไรที่ไม่เคยเจอที่กทม. สัตว์ต่างๆ นานา ที่มีอยู่รอบบ้าน ต้นไม้ใบหญ้า ดูปลา เลี้ยงวัว ได้ไปอยู่กับธรรมชาติจริงๆ ดูเขาชอบ มันแปลกใหม่สำหรับเขา เนยเองตั้งใจจะพาเขาไปอยู่แล้ว เนยเองได้ไปเยี่ยมแม่ แล้วลูกเราได้มีโอกาสใกล้ชิดธรรมชาติด้วย เขาก็จะตื่นเต้นมาก ก็พาเขาไปอยู่พัทลุงอาทิตย์หนึ่ง จะพาไปอีก เพราะเขาชอบ อย่างน้ำตก เราอยู่กทม. โอกาสที่เราจะได้ไปเที่ยวน้ำตก จะไปเก็บผลไม้ทานก็ยาก พอไปตรงนั้นมันง่าย
ก่อนหน้านี้เราเลี้ยงลูกเองมาตลอด เพิ่งจะมีผู้ช่วยตอนเขาเริ่มเดิน เพราะเริ่มไม่ไหวจริงๆ จับไม่ทัน แล้วเราก็ไม่มีเวลาส่วนตัว เพราะเราต้องทำงานด้วย ตอนแรกวางแพลนว่าเราจะเลี้ยงกันเอง เราจะเป็นพ่อแม่สตรอง ตอนนี้สตรองไม่ไหว เพราะเขาซนมากแล้วเราต้องทำงานด้วย ถ้าเลี้ยงเขาเต็มเวลาเราจะไม่ได้ทำงานเลย เราไม่ตามใจและคิดว่าไม่สปอยล์ด้วย แต่เพื่อนๆ พี่ ป้า น้า อา จะสปอยล์ ทีมซัพพอร์ตเขาเยอะ ของเล่นจะแน่น เราก็บอกว่าอย่าซื้อมาเยอะ เพราะเราจะให้เขาเล่นทีละอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาจะเล่นทุกอย่าง แล้วไม่มีสมาธิจดจ่อกับอะไรเลย เปลี่ยนไปเรื่อย จะให้เขาเล่นทีละอย่าง ก็เลี้ยงแบบปล่อยให้เขาตามธรรมชาติ ไม่ตามใจจนเกินไป อะไรห้ามได้ก็ห้าม เขา 1 ขวบ 3 เดือน เขายังไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก เราเลยต้องลองปล่อยให้เขาได้ทำอะไรที่เขาอยากทำแล้วมันไม่เป็นอันตรายเกินไปก็จะให้เขาลอง ดูเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยร้องไห้ จะร้องไห้เวลาเจอเสียงดังๆ น่ากลัว ตกใจอะไรแบบนี้
สำหรับแพลนลูกคนที่ 2 คิดอยู่ถ้าปีนี้จะมีก็มีเลย พ้นปีนี้ก็อาจจะไม่มี นี่คือสิ่งที่คิดกับสามี เรามีความรู้สึกว่ามีไปเลยทีเดียวหายเหนื่อย หรือเราจะมีคนเดียวดีไหมแต่ก็กลัวลูกจะเหงาอีก เป็นสิ่งที่เราสองคนกำลังตัดสินใจกันอยู่ในปีนี้ เราตั้งใจจะมี 2-3 คนเลยนะ ขนาดเขาเลี้ยงง่ายแต่เรารู้สึกเป็นห่วงในหลายๆ อย่าง ถ้าเรามีลูกมากเราก็จะมีห่วงเยอะขึ้นอีกไหม หรือเราจะมีเวลาให้เขาไม่พอไหม ถ้ามีคนเดียวเราก็จะมีเวลาให้เขาเต็มที่ที่สุด พอมาเป็นแม่คนจริงๆ มันคิดหลายสเต็ปมากเลย ถ้ามีหลายคนเราจะโฟกัสเขาได้ดีไหม มันมีเรื่องคิดเยอะมาก
เหมือนสามีให้งดรับละครเพราะตั้งใจจะมีคนที่ 2 กัน ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าเขารักอคิณมากเลยและเขาเป็นห่วงลูกมาก ก็กลัวว่าถ้ามีผู้หญิงขึ้นมาก็ไม่รู้จะต้องห่วงเบอร์ไหน นางก็บอกแบบนี้ เนยก็เลยบอกว่างั้นเราคิดกันก่อนแล้วกันปีนี้ยังพอมีเวลา เพราะเพิ่งต้นปีใช้วิธีธรรมชาติ ของคนนี้ต้องธรรมชาติแน่นอน งานละครคงต้องรอดูลูกคนที่ 2 ไปก่อน
ตอนนี้เริ่มมีละครติดต่อเข้ามาแล้ว เราก็ดีใจที่ผู้จัดละครยังไม่ลืมเรา แต่ลูกเราก็ยังเล็กมาก แล้วแพลนของครอบครัวเราก็ยังไม่แน่นอน ก็เลยยังไม่รับละครยาว ปีนี้เนยเริ่มจะมาออกรายการ ทำอะไรเยอะขึ้น จะได้เห็นในหน้าจอมากขึ้นแต่อาจจะไม่ใช่ละครยาว บทบาทที่จะรับ จะไปเล่นนางเอกก็คงไม่ใช่ เรามาอย่างนี้แล้ว เนยว่าคนดูเข้าใจและลูกก็เข้าใจว่ามันคือหนึ่งในการแสดงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร บทร้ายไม่เกี่ยง เพราะเราเองก็โตมากับบทนี้จริงๆ นะ แต่จังหวะจะรับละครตอนนี้มันยังไม่ได้ แต่สามีไม่ได้ห้ามแต่ลูกยังเล็กมาก เรายังต้องพาเขาไปทำกิจกรรมเรื่อยๆ ไปว่ายน้ำ ไปเล่นกับเพื่อน แล้วเราต้องทำธุรกิจอีก มีงานออฟฟิศแล้วต้องสลับกับสามีเพื่อเลี้ยงลูก มันก็ยังไม่มีเวลาที่จะยาว แล้ว เวลาเล่นละครมันต้องหายไปทั้งวัน ตี 5 ถึง 4 ทุ่มจะไม่ได้เจอหน้าลูกเลย ก็เลยคิดว่าอีกพักหนึ่งให้เขาเข้าโรงเรียนก่อนค่อยว่ากัน
