เปิดมุมมอง “นารา” กับการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด
อีกหนึ่งนักแสดงวัยรุ่นสาวมากความสามารถ “นารา เทพนุภา” ที่เธอได้เป็นบัณฑิตป้ายแดงเป็นที่เรียบร้อยจากรั้ว มหาวิทยาลัยรามคำแหงในเวลาเพียงสามปีเท่านั้น งานในวงการก็เต็มที่การเรียนก็ไม่ทิ้ง ทาง “ดาราเดลี่” ได้พูดคุยกับเธอพร้อมกับเปิดใจถึงมุมมองด้านการศึกษาในฉบับของเธอว่า
อ่านข่าวเพิ่มเติม
แฟนคลับร่วมยินดี “นารา” สวมครุยเป็นว่าที่บัณฑิต
เรียนจบมาตอนนี้ก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ดีใจอะไรขนาดนั้น เพราะเรารู้สึกว่าเป็นสิ่งหนึ่งในด้านการศึกษาที่เราต้องทำ เรียกว่ามันยังไม่ถึงที่สุดของเราที่กำลังตามหา สำหรับเราเรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญแต่การรับปริญญาไม่ได้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันคือจุดสุดท้ายการเรียนรู้เพราะมันยังมีอะไรที่เรายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ปริญญาโทก็มีดูๆ เอาไว้แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเรียนด้านไหนดี ตัวเราก็อยากเรียนด้านบริหาร หรือไม่ก็เป็นคอร์สสั้นๆ เพราะถ้าเรียนโทก็จะต้องเจาะลึกเนื้อหาต่างๆ เข้าไปอีก ถ้าเรียนจีนจ๋าเลยก็ต้องเรียนรู้ต้นตอของภาษาซึ่งเราไม่ได้ต้องการแบบนั้น อยากจะเรียนที่มันสามารถนำภาษามาปรับใช้ได้มากกว่า เพราะฉะนั้นการเรียนจบเราไม่ได้รู้สึกดีใจขนาดนั้น เพียงแต่ตื้นตันที่มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาแสดงความยินดีกับเรา บางคนมาไกลมากจากต่างจังหวัด เหมือนเป็นการรวมตัวเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานานประมาณนี้
ในเรื่องการเรียนสำหรับตัวเรายังคิดว่ามันยังไม่สุดเท่าไหร่ ปริญญาเหมือนเป็นเพียงใบเบิกทาง เพราะตัวเราเรียนและสอบไปด้วยมาโดยตลอด เคยลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาเรียนกศน. ช่วงสมัยมัธยมเราเคยเรียนนอกระบบมาก่อน ซึ่งตอนนั้นเราเองก็รู้สึกว่าเราชอบภาษาแต่อยากไปให้สุดกว่านี้ เพราะที่โรงเรียนด้วยความที่ครูจีนเจอกันแค่สัปดาห์ละไม่กี่ครั้ง ซึ่งเราก็ไม่ใช่เด็กอินเตอร์ด้วย ช่วงนั้นเรากำลังถ่ายซีรีส์ “น้องใหม่รายบริสุทธิ์” พอดี ก็ไม่มีเวลาให้ได้เรียนพิเศษเลย ทำให้ตอนนั้นตัดสินในลาออกมาเรียนกศน.ก็ได้ เพราะงานก็ทำส่งก็ได้เรียนเหมือนกันแถมเรายังมีเวลาในการเรียนภาษาจีนภาษาอังกฤษมากขึ้นด้วย การเรียนในฉบับของเราทำให้รู้สึกว่าอยากเรียนในสิ่งที่ชอบ ซึ่งคุณพ่อก็โอเคกับการตัดสินใจของเราแบบนี้ ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัยมีความคิดอยากไปเรียนแลกเปลี่ยน แต่ดันติด “น้องใหม่” ด้วย พอมันมีโอกาสเข้ามา เราก็รู้สึกว่าไม่เป็นไรก็เรียนแบบนี้ต่อไป เอาจริงๆ ไม่ได้มีความคิดเรื่องมหาวิทยาลัยเลย เพียงแต่อยากได้ 2 ภาษานี้ก่อนจบม. 6 เท่านั้น
ด้วยความที่เรียนแบบนี้มาตลอดจนเข้ามหาวิทยาลัยที่ม. ราม เราก็ยังเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่เรื่อยๆ ต่อให้ทางมหา’ลัยป้ออนมาก็โอเค ก็คืออ่านหนังสือ มีวินัย แค่นี้ก็รู้สึกว่าทุกคนก็สามารถเรียนจบได้เหมือนกันถ้าเรารู้จักตัวเองดีพอ ซึ่งการเรียนของ ม.รามนั้นเขาไม่ได้บังคับอะไรเลย แต่เราต้องรู้ตัวเองก่อนมันเป็นข้อดีที่ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นเรียกว่าเราสนุกกับการเรียนมากๆ และอยากจะเรียนรู้มันต่อไป แต่ก็โชคดีที่เรียนจบมาก็มีโปรเจ็คท์ให้ทำมีละครให้ได้เล่น การเรียนของเราอาจจะไม่เหมือนคนอื่นเท่าไหร่
ภาษาจีนแรกเริ่มมาจากเรียนกับครูจีนช่วง ม. 1-2 คือเรียนเจ้าของภาษาเลยหลังจากนั้นเราก็ห่างหายไป 5-6 เดือน ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้แล้วต้องแอคทีฟตัวเองกว่านี้ที่บ้านจะเสียเงินฟรี แต่ที่บ้านก็ไม่ได้บังคับให้เราเรียนมันเป็นความสมัครใจของเราเอง พอเราได้ทบทวนได้อ่านทำให้รู้สึกว่าดีจังกลายเป็นว่าเราสนุกไปกับมันเลยยิ่งทำให้เราง่ายมากตอนเลือกเรียนสายในม.4 มันชัดเจนมากขึ้น พ่อเคยบอกว่าที่ให้เรียนภาษาเพราะรู้ว่าไม่ชอบสายวิทย์คณิตแน่นอน เลยอยากจะให้ลองภาษาดูถ้าไม่ชอบอีกก็จะส่งไปเรียนสายอาชีพเลย เราต้องขอบคุณคุณพ่อในส่วนหนึ่งเหมือนคอยมองดูเราอยู่ตลอดเวลา ท่านเคยพูดกับเราว่ามีลูกคนเดียวไม่เคยเลี้ยงใครมาก่อนแล้วจะรู้ได้ไงว่าลูกเราชอบอะไร ถ้ายังไม่ได้ลองสิ่งนั้น นั่นก็เป็นวิธีการเลี้ยงลูกในฉบับพ่อเราเอง สิ่งที่เขาเลือกคือคิดแล้วว่ามันต้องดีสำหรับเรา ถ้าเกิดสมมุติว่าเราเรียนปกติเหมือนคนทั่วไปเราจะไม่สามารถจัดการต่างๆ ได้ เลยรู้สึกว่าเราทำงานได้เต็มที่แถมยังเรียนได้เต็มที่ด้วย แค่นี้ก็พอแล้ว แต่ในพาร์ทของนักแสดงคนอื่นที่เรียนด้วย พวกเขาเก่งมากแบ่งเวลาได้อย่างดี แต่เรารู้ตัวเองว่าถ้าให้เราทำแบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เราก็มีวิธีการเรียนในแบบของเราเหมือนกัน
เรียนจบ 3 ปีก็เป็นสิ่งที่เราแฮปปี้ รู้สึกคุ้มค่า ได้มีช่วงที่เครียดสุดๆ โมเมนต์ติด F เยอะก็มี แต่เราก็ผ่านมันมาได้ เราได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ก็อยากจะเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังกดดันตัวเองเรียน 4 5 ปีแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จรู้สึกว่าไม่อยากให้โฟกัสตรงนี้เพราะมีคนบางกลุ่มที่เรียนนานกว่านั้นด้วย ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ในตอนที่เรียนก็ได้ช่วยเพื่อน เพื่อนก็ช่วยเราด้วย มันเป็นสังคมที่น่ารักมากๆ เลย