เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “น้ำ กัญญ์กุลณัช” สาวเท่กับความสามารถรอบด้าน 

เปิดเส้นทางก่อนจะดัง “น้ำ กัญญ์กุลณัช” สาวเท่กับความสามารถรอบด้าน 

        ยังคงเป็นที่รักของแฟนคลับ สำหรับนักร้องสาวหมวยเท่เสียงดี อย่าง “น้ำ กัญญ์กุลณัช ปัญญากิตตินันท์” หรือ “น้ำ AF11” ที่ใครเห็นต่างก็ต้องตกหลุมรัก ล่าสุดมีผลงานให้แฟนๆ ได้ติดตาม “บ้านเรือนเคียงกัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล” และโปรเจ็คท์ “Love repert ซ้ำรัก ซ้ำฟัง” ที่ตอนนี้กระแสตอบรับดีเกินคาด วันนี้ “ดาราเดลี่” จะไปพูดคุยและย้อนวันวานถึงเส้นทางในวงการบันเทิงของสาว “น้ำ” กัน 

           ชีวิตในวัยเด็กครอบครัวก็ค่อนข้างไปในทางที่ยากจนนิดหนึ่ง เป็นคนจังหวัดนครราชสีมา เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนหนังสือ สอบปกติ แต่ในระหว่างนั้นเป็นเด็กที่ชอบแสดงออก ทำกิจกรรมแทบจะทุกอย่าง เริ่มต้นจากการที่เราชอบเต้นก่อน แม่เห็นว่าเราจะไปด้านนี้จริงๆ ก็ขอไปประกวดตามรายการทีวีต่างๆ แม่ก็บอกว่าให้เราร้องเพลงด้วย เพราะเราร้องเพลงได้ ในความคิดของคุณแม่ ณ ตอนนั้น เราก็ตกลงว่าไปเรียนควบคู่กันทั้งเรียนร้อง และเรียนเต้นเลย แล้วก็เดินสายประกวดตั้งแต่ ม.ต้น ประกวดมาเรื่อยๆ เลย จนอยู่ชั้น ม.6 จะสอบเข้ามหาลัยแม่ก็บอกให้เราหยุด ด้วยความที่เราเป็นหน้าใหญ่ ชอบทานอาหารดีๆ แต่จริงๆ ตัวเองไม่ได้มีเงินเลย ก็เลยแอบแม่ไปร้องเพลงกลางคืน ร้องเพลงที่หลังร้านมหาลัย ก็จะมีเงินตรงนี้มาช่วยเราด้วย อีกอย่างก็เอเอฟ 11 ก็เปิดรับสมัครพอดี เพื่อนก็ชวน แต่จริงๆ เราไม่อยากประกวดแล้วนะ เพราะเรามีความสุขกับการได้ร้องเพลงกลางคืน สรุปว่าเราก็ติดเข้ารอบเฉยเลย ก็เลยได้เป็นเอเอฟมาจนถึงทุกวันนี้ 

           ความฝันของเรา เอาจริงๆ เลยนะตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นอะไร แต่เรามีเป้าหมายมากกว่าอยากเลี้ยงดูครอบครัว เพราะเราเห็นตั้งแต่เด็กเลยว่าเขาทำงานหนักมากเลย ซึ่งชีวิตเขามีแค่ครอบครัว เราก็จะเห็นแม่เราเลี้ยงอาม่ามาตลอด ซึ่งเราก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเราก็ต้องทำอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน เราไม่รู้สึกเลยว่าทำไมต้องทำ เพราะในอนาคตเราต้องทำเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งที่บ้านเราก็อยู่กันเป็นกลุ่ม เรายอมที่จะทำอะไรก็ได้ ทำทุกอย่างให้ครอบครัวได้อยู่สบาย 

           ตัดสินใจมาประกวดเอเอฟ 11 อีกครั้ง ก็เหมือนเราได้รับอาวุธมาพอสมควร ตอนนั้นที่ร้องเพลงก็เกือบปี ตอนที่เราเรียนเราก็พอได้นะ แต่ความเจนของเวทีมันต่างกันเยอะเลย ตอนนั้นก็เหมือนเป็นเด็กๆ ที่เข้าไปประกวดถ้าเราไม่ได้มีของจริงๆ กรรมการของเราก็จะไม่เห็นอยู่แล้ว แต่พอเราได้ฝึกเต็มๆ หนึ่งปีเต็ม พอไปประกวดมันก็ได้ แบบไม่ต้องลุ้นเหมือนครั้งก่อนๆ คิดว่าเป็นโอกาสของเราก็ลองคว้าไว้ ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ  

           ความคาดหวัง คือจริงๆ ไม่อยากคาดหวัง เพราะกลัวจะผิดหวังในอนาคตมากกว่า แต่หน้าที่ของเราก็คือทำทุกวันให้ดี เราทำงานแรกมันยังไม่มีอะไร มีแต่แฟนคลับที่เขาช่วยสนับสนุน เราก็ดูแลแฟนคลับ ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด จนวันหนึ่งก็ต้องมีคนเห็นถ้าเรามีของจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่างเมื่อก่อนเราไม่ได้ดังขนาดนั้น ไม่มีงาน ไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้ว่าอะไรที่ทำให้เราอยู่ได้ก่อน คือเรารู้นะว่าความฝันคืออะไร แต่ว่าคนเราก็ต้องกินต้องใช้ เราก็ต้องไปฝึกฝนพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ สิ่งที่ชอบมากที่สุด คือจริงเราเป็นนักร้องอยู่แล้ว แจ้งเกิดจากการเป็นนักร้อง เชื่อว่าทั้งตัวเราเองและศิลปินในค่ายเขามาจากการเป็นนักร้อง เราก็อยากร้องเพลงนั่นแหละ เพียงแต่ว่าอย่างที่บอกคนเราต้องกินต้องใช้ ทุกวันนี้เราก็ยังรับงานร้องเพลงอยู่

          ไอดอลในวงการบันเทิง จริงๆ เราติ่งเกาหลีหนักมาก ทั้งผู้ชายผู้หญิง คือเราชอบ “คิม แทยอน” วง Girls' Generation ไม่คิดหรอกว่าวันหนึ่งจะได้ร่วมงานกับเขา แต่แค่มีโอกาสได้ยืนอยู่ในคอนเสิร์ตเดียวกันแค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว ส่วนศิลปินไทยมีวันหนึ่งเราได้ดูรายการที่ผู้เข้าประกวดได้ร้องเพลงกับศิลปิน อย่าง “พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์” วันนั้นเราร้องไห้เลยนะ รู้สึกว่าโชคดีจังเลยที่ได้ร้องเพลงกับ “พี่เบิร์ด” มีรับ มีส่งกัน ดีมากๆ แล้วก็มีพี่ผู้ใหญ่สอนเราว่าเวลาพี่เขาไปทำงาน เขาจะไปก่อน ไม่เคยไปที่หลังเลย แล้วพี่เขาจำชื่อทุกคนได้หมดเลย ไม่รู้ว่าเอาเวลาไหนไปจำ ซึ่งก็ถือว่าเป็นไอดอลในการใช้ชีวิต และผลงานหลายๆ อย่างเลย 

            สิ่งที่อยากทำแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ คือ เมื่อก่อนเรามองละครเวทีเอาไว้ แล้วตอนนี้ได้โอกาสเล่นละครเวทีแล้ว ซึ่งเป็นอะไรที่สนุก แล้วละครเวทีเป็นอะไรที่รวมทุกศาสตร์ที่เรามีทั้งหมด ตอนนี้ก็เลยโฟกัสที่ละครเวที ก็เลยไม่ได้มองอะไรไว้ แต่คิดว่าจริงๆ แล้วนักร้องไทยก็อยากออกไปข้างนอกเอเชีย หรือไประดับโลก มันก็คงเป็นไปได้ยากแต่ก็พยายาม

            วิธีรับมือกับกระแสข่าว เราเป็นคนหนึ่งที่โดนข่าวด้านลบตลอดเวลา ก็เป็นธรรมชาติของเราไปแล้วพอมีคนรักก็มีคนเกลียดเท่าๆ กันเลย เราเป็นคนที่รักครึ่งหนึ่ง คนเกลียดครึ่งหนึ่งเลย ช่วงแรกๆ ก็เครียด ทุกวันนี้ที่เจอก็เครียด พยายามไปโฟกัสอย่างอื่น พยายามไม่สนใจ เราพิสูจน์หลายครั้งแล้วว่าเดี๋ยวเราจะแก้ตัวแล้วเราทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรอาจจะใช้เวลาในการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น 

          นิยามความเป็นตัวของตัวเอง เราก็เป็นคนรอบด้าน ทำได้ทุกอย่างถ้าใจมาก็ทำเต็มที่แน่นอน จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 5 ปีแล้ว ขอบคุณทุกๆ โอกาสทุกๆ อย่าง ทุกๆ โอกาสที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ แฟนคลับของเราด้วย คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมันทำให้เราเป็นเราในวันนี้เลยจริงๆ ไม่มีใครไม่สำคัญเลย ต่อให้เขาทำไม่ดีกับเรานั่นก็คือสิ่งสำคัญที่ผ่านเข้ามาหล่อหลอมเป็นเราในทุกวันนี้ แต่เราไม่อยากกลับไปแก้ไขนะ เพราะจะไม่มีทางที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ได้ถ้าไม่มีใครในวันนั้น ยังไงก็ขอฝากติดตามกันด้วย