เจาะลึกอะไรคือความสำเร็จ ของ INDIGO
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งวงดนตรีที่ได้รับความสนใจไม่น้อย สำหรับ INDIGO กับเพลงคุ้นหูที่ใครๆ ต่างก็รู้จักกับ “ถ้าฉันเป็นเขา” การันตียอดวิวกว่า 70 ล้านวิวกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเพลงเนื้อหาโดนอีกหลายเพลงด้วยเช่นกัน พูดถึงเส้นทางนักดนตรีของพวกเขากว่าจะมาถึงจุดนี้เชื่อว่าก็ไม่ได้ง่ายมากสักเท่าไหร่ ทาง “ดาราเดลี่” ได้พูดคุยถึงเส้นทางนักดรตรีของพวกเขากกว่าจะมีเพลงที่ครองใจแฟนเพลงหลักสิบล้าน
อ่านข่าวต่อ
ล้านแตก! “แค่เราไม่ได้รักกัน” เพลงใหม่จาก “Indigo” กระแสดีเกินคาด
Q: ท้อไหมกับการทำเพลงในช่วงแรกกว่าจะมีเพลงที่มียอดถึง 70 ล้านวิว
A:โดนัท : จริงๆ เราเคยทำเพลง แค่เราไม่ได้รักกัน แล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ย! ซิงเกิลต่อไปเราหวังจะให้เพลงมันเป็นกระแส คล้ายๆ เพลง แค่เราไม่ได้รักกัน แต่พอเรานั่งทำเดโมด้วยกัน 3 คนปุ๊บ เราก็รู้สึกว่าเรายิ่งคิดเยอะไปมันจะยิ่งรู้สึกว่าทำงานยาก คิดงานไม่ออก เลยรู้สึกว่า อะ ตัดปัญหาตรงนั้นไป เราทำสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ดีกว่า เราทำออกมาหลายๆ เดโม เลือกผลงานที่ดีที่สุดให้คนได้ฟังดีกว่า ครับผม มันก็เลยเป็นความไม่กดดันหลังจากนั้น ก่อนที่จะมาเป็น ถ้าฉันเป็นเขา นี่คือหลายเดโมเหมือนกันนะครับ ไม่ต่ำกว่า 5 ก็เลยเหนือความคาดหมายนิดหนึ่งที่ ถ้าฉันเป็นเขา วิวเยอะขนาดนี้จริงๆ เราตั้งเป้าไว้แค่ 10 ล้านวิวครับผม
Q: ในยุคที่กระแสเพลงแร็ปมาแรง INDIGO อยากที่จะทำศิลปิน Rapper มา Feat. บ้างไหม
A: ขวัญ : เพลงดังหรือไม่ดัง ท้อหรือไม่ท้อ อะไรแบบนี้ค่ะ ทุกครั้งที่เรามีปัญหาหรือเรามีความรู้สึกอะไรเราจะรู้สึกได้ว่าเรา 3 คนยังอยู่ด้วยกัน และเราก็จะจับมือกันไปตลอดอะค่ะ ทีนี้พอด้วยความที่วางชัดเจน โครงชัดเจนมาตั้งแต่ความเป็น INDIGO ที่ไม่เคยมีแร็ปมาผสมอยู่แล้วค่ะ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าเราจะต้องตามใคร หรือเราอยากเป็นใครค่ะ เราแค่อยากเล่นดนตรีในแบบของเรา ในแบบ INDIGO ฉะนั้นแล้วคำว่าแร็ปของ INDIGO มันห่างไกลมากค่ะ มันห่างไกลเกินไป ไม่ได้ว่าแร็ปไม่ดี แต่ว่าคือเราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคนอื่น ที่เขาเป็นแนวทางของเขาโดยชัดเจน เราก็เลยยึดความเป็น INDIGO เสมอต้นเสมอปลายไปตลอดดีกว่าค่ะ มันน่าจะเป็นสิ่งเราถ่ายทอดได้ดีที่สุดมากกว่าค่ะ
Q:ซิงเกิลต่อไปกลัวไหมว่ากระแสจะไม่ดีเท่าเพลงแรก
A:บลู : ตอนที่ทำเพลง ถ้าฉันเป็นเขา เพลงนี้ดังมาก แล้วผมขึ้นเดโมเพลงใหม่ตลอดเวลาเลย ผมก็จะขึ้นๆ แล้วผมก็จะเป็นคนที่แบบกดดันตัวเอง เพราะว่าเรารู้สึกว่าเพลงนี้มันดี เราจะต้องมีเพลงที่ดีให้ดีเท่ากับเพลงนี้ จนแบบเขาเรียกว่าอะไร พี่ๆ ในค่ายมาพูดว่า เฮ้ย พวกเอ็งอย่าไปกดดันสิ เพลงอะ คนอะเขาฟังเพลงไม่เหมือนกันหรอก เพลงแต่ละเพลงเราออกมาคือเราไม่รู้หรอกว่าเพลงไหนจะโดน เพลงไหนจะดัง แต่เราเน้นที่ปริมาณดีกว่า เราทำเพลงออกมาให้คนได้ฟังในแบบที่เป็นตัวเรา แล้วอย่าไปกดดันตัวเอง ทำในสิ่งที่เราต้องทำ เราต้องพยายามผลิตผลงานออกมาให้ได้มีคนฟังเยอะๆ
ขวัญ : อย่าเพิ่งคิดเผื่อว่าอนาคตจะเป็นยังไง ทำวันนี้ให้ดี เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเราต้องทำอะไรอะค่ะ เพราะว่าข้างหน้ามันก็ไม่มีใครรู้ว่าเราจะเป็นยังไงเหมือนกัน ถ้าวันนี้เราทำเพลงออกไปแล้วมันไม่ Success มันก็มีโอกาสมากกว่าที่จะมานั่งนอยด์ เรามีโอกาสในเพลงต่อๆ ไปเรื่อยๆ เลย คำว่าโอกาสคำเดียวมันทำให้เรายังอยู่ได้มากกว่า
Q:วัดค่าความสำเร็จของ INDIGO ไว้ยังไง
A: ขวัญ : เราไม่รู้ว่าความสำเร็จของ INDIGO มันจะหยุดอยู่ตรงไหน หยุดอยู่ที่คอนเสิร์ตใหญ่ หรือหยุดอยู่ตรงที่การมี Ep. อัลบั้มอะไรอย่างนี้อะค่ะ แต่ความสำเร็จของเรา 3 คน ณ ตอนนี้ที่รู้สึกได้คือการออกไปเจอคนแล้วคนร้องเพลงเรากลับมาได้มากกว่า เราเคยเป็นศิลปินที่ออกซิงเกิลไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีคนรู้จัก คนรู้จักเพลงแต่ร้องได้แค่ท่อนฮุก หรือเราเดินผ่านไปคนไม่รู้ว่าเราคือ INDIGO INDIGO มีเพลงอะไรเก่าๆ บ้าง คนไม่รู้ พอมาถึงวันนี้วันที่เรา 3 คนเดินไปเพื่อเล่นโชว์โชว์หนึ่งที่ต่างจังหวัด แล้วในกรุงเทพฯ ด้วยก็ตาม เวลาขึ้นคอนเสิร์ตแล้วเขาจะรู้ว่า 3 คนนี้กำลังจะมาเล่นเพลงเหล่านี้ในเขาฟังแล้ว อันนั้นคือประสบความสำเร็จที่สุดแล้วสำหรับเรา เราไม่รู้ว่าเราจะได้มีคอนเสิร์ตใหญ่หรือเปล่า เราจะมีแฟนคลับมากน้อยแค่ไหน เพราะเรารู้สึกว่าวันนี้แฟนคลับแค่คนเดียวที่ชื่นชอบเรา นั่นคือสิ่งที่ให้กำลังใจเรามากที่สุดที่เราได้รับมาแล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ
Q:ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงของตัวเองตามที่สาธารณะ
A: ขวัญ : ซิงเกิลแรกของพวกเราคือเพลง ยังคง “บลู” เล่นเป็นพระเอก MV ด้วย แล้วเรารอคอย MV นี้มันจะฉายอะค่ะ เพราะว่าตอนที่เราถ่ายทำกัน เราเห็นแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเราก็เฝ้ารอที่จะออกมาพร้อมกัน แล้ววันแรกที่เราเห็นอะเราขนลุก เราขนลุกด้วยอะไรก็ไม่รู้ มันภูมิใจหรือมันแค่เห็นว่าเออ ความสำเร็จที่อยู่ตรงหน้า ตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยนะว่าเพลงมันจะดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกยิ่งไปกว่านั้น เราเดินห้างฯ กัน เซเว่นอะไรประมาณนั้น แล้วเราก็รู้สึก เฮ้ย นี่ไงเพลงเรา เฮ้ย นี่เขาเปิดเพลงเรานะ มันก็จะรู้สึกแบบ เออ! เนี่ยแหละเพลงที่เราทำกันมา ที่เราอัดเบรกกัน ที่เราขึ้นเมโลดี้กัน ที่เราร้องอัดมา ทำกลองมา ส่วน “บลู” นี่น่าจะหนักกว่าเพราะ “บูล” เป็นคนร้อง
บลู : ผมก็เป็นความรู้สึกที่มันเป็นเพลงแรกของวงอะเนอะ มันก็จะรู้สึกเขาเรียกว่าจะรู้สึก ตอนแรกรู้สึกแปลกๆ หน่อยเพราะว่าเฮ้ย นี่เราร้องเพลงๆ นี้เหรอวะ (หัวเราะ) มันคือเพลงของเราจริงๆ เหรอวะ หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่เราเคยฝันมาตั้งแต่ยังเด็กว่าเราจะมีเพลงเป็นของตัวเอง แล้วก็มีวงเป็นของตัวเองที่เราอยากทำ แล้วมาวันหนึ่งเรามีเพลงเป็นของตัวเองที่เปิดตามคลื่นวิทยุ ได้ยินคนฟังเพลงของเรา เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษ ถ้าให้พูดจริงๆ มันคือสิ่งที่พิเศษมากๆ ในชีวิตเลยที่คนๆ หนึ่ง หรือวงๆ หนึ่งที่ได้รับกลับมา
โดนัท : คือจริงๆ ในชีวิตแบบว่านักดนตรีอะไรประมาณนี้ทุกคนก็ใฝ่ฝันอยากจะมีซิงเกิลเป็นของตัวเอง ซิงเกิลแรกก็ปล่อยไป คือผมเป็นคนที่แบบตามซื้อเพลงของตัวเองทุกเพลงในแอปๆ หนึ่งอะครับผม ตามซื้อทุกเพลงแล้วผมก็อะล่าสุดแคปเป็นสตอรี่ว่าใครจะไปคิดว่าวันๆ หนึ่งมันจะเดินทางมาถึง 5 ซิงเกิล มันเป็นความรู้สึกที่แบบ พอมันมาถึง 5 ซิงเกิล ซิงเกิลล่าสุด ถ้าฉันเป็นเขา ภาพมันชัดชึ้นเรื่อยๆ ภาพของทั้งเพลง ทั้งตัววง คืออย่างล่าสุดโมเมนต์ที่เราไม่เคยไปเจอ คือผมตื่นเต้นมากกับโมเมนต์นั้น คือเราไปเล่นร้านๆ หนึ่งในจังหวัดอุบลฯ แล้วเปิดประตูเดินลงไป เราไม่เคยคิดว่าจะมีคนกรี๊ด แบบ “บลู” เดินลงไปปั๊บคนกรี๊ดแบบกรี๊ด ผมพูดแล้วยังขนลุกอยู่เลย โมเมนต์พวกนี้คือเราก็ไม่ได้ตั้งตัวว่าเราจะเจออะไรอย่างนี้ เพราะเล่นดนตรีมาก็เจอคนมาเยอะ เจอคนเดินเข้ามาในร้านมันก็ปกตินะ พอมันมาอยู่ในฐานะตรงนี้ มันเกินความที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ตอนแรกแค่คิดว่าอยากจะมีเพลงแค่สักเพลงเป็นของตัวเองเท่านั้นเอง
Q: เสียงเพลงให้อะไรกับเราบ้าง
A:โดนัท : เสียงเพลงก็เรียกว่าให้ทุกอย่างเลยแล้วกัน คืออยู่กันมาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่หัดเล่นดนตรี เรารู้สึกว่าเฮ้ย มันเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดแล้ว ตอนเรียนผมก็คิดว่าถ้าให้ผมไปนั่งอ่านหนังสือเป็นชั่วโมง กับผมมาซ้อมดนตรีเป็นชั่วโมงๆ ผมชอบอันไหนมากกว่ากัน ผมก็เลือกว่ายังไงก็ต้องเป็นดนตรี
บลู : เขาเรียกว่าโตมาพร้อมๆ กับมันเลย เพราะว่าพ่อผมก็เป็นนักดนตรีเหมือนกัน ผมก็ได้ซึมซับมาจากพ่อ เหมือนในทุกที่ที่เราไป เราก็จะได้ไปเหมือนเราได้ไปเที่ยว เที่ยวไปพร้อมกับมัน เที่ยวไปพร้อมกับเพลงที่เราทำ เที่ยวไปพร้อมกับเสียงดนตรีที่เราเล่น มันก็พูดไม่ได้นะ มันให้ทุกอย่างจริงๆ
ขวัญ : ให้ทุกอย่าง ให้มิตรภาพ ให้ความรู้สึกดีๆ ให้ความคลายเครียด ให้ทุกอย่างจริงๆ ตอนเด็กๆ เราเคยจะมีคนถามเราเสมอเลยว่าตอนโตเราอยากเป็นอะไร แต่ “ขวัญ” ตั้งแต่เด็กแล้วอะ “ขวัญ” ไม่รู้เลยว่าต้องมานั่งไขว่คว้าหาอาชีพทำไม เพราะว่า “ขวัญ” รู้สึกว่า “ขวัญ” โตขึ้นมาจะต้องเป็นนักดนตรีให้ได้ แล้ว “ขวัญ” ก็ได้คำตอบๆ หนึ่งจากที่เขาถามหาความฝันของตัวเองอะค่ะ จริงๆ แล้วเราไม่ต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเป็น แต่สิ่งที่เราเป็นตัวเราเองมันไม่ใช่คำถาม แต่มันคือคำตอบ
บลู : จริงๆ พวกเราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ว่าเราแค่อยากให้เพลง เพลงที่เราทำออกไปให้ทุกคนชอบ แล้วก็อาจจะไม่โดนใจทุกคนหรอก แต่ว่าเราก็จะพยายามทำให้สิ่งที่เราเป็น แล้วเราก็เสนอแบบสิ่งที่เราเป็นออกไป แต่ความคาดหวังจริงๆ แล้วของพวกเรา เรามีความคาดหวังแค่ว่าถ้าเพลงๆ หนึ่งของพวกเราถึง 10 ล้านวิวพวกเราก็ดีใจมากๆ แล้วครับ เพราะว่าเราจะมีเพลงๆ หนึ่ง แค่เราไม่ได้รักกัน เพลงนี้คือตอนนี้อยู่ประมาณ 8 ล้าน เพราะเรารู้สึกว่าอีกนิดเดียว แบบว่าอีกนิดเดียวเราจะถึงแล้ว อีกแค่ 2 ล้านเอง ยัง ยังไม่ไป ยังไม่ขยับ ก็แบบเอาวะ เพลงนี้แหละ จะต้องเป็นเพลงที่ทะลุ 10 ล้านวิว แค่ 10 ล้านวิวพอนะครับ คือว่าเราไม่ได้คิดว่าเพลงของเราจะไปถึง 50-60 ล้าน แต่ว่าพอ 10 ล้านวิวเมื่อไรปั๊บมันเป็นสิ่งที่แบบ เขาเรียกว่ามันดีใจ
มันเป็นสิ่งที่แบบ โห...เราสำเร็จแล้วว่ะ เรา Success ในสิ่งที่เราต้องการแล้ว แค่นั้นเราโอเคแล้ว แต่พอมาถึงยอดที่มัน 60-70 ล้าน มันเหมือนกำไรของพวกเราแล้ว ที่พวกเราชื่นใจมากๆ แล้วเวลาเราไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคอนเสิร์ตที่เราเล่น ทุกคนก็จะร้องเพลงเราได้ ทุกคนก็จะพูดถึงแล้วบอกว่า เพลงพี่เพราะมากเลย เพลงดีมากๆ แล้วทุกคนก็จะกลับไปฟังเพลงเก่าๆ ของพวกเราที่ทำมา ยอดวิว แค่เราไม่รักกัน ก็เพิ่มขึ้น เพลง ยังคง เพลง เจ็บยังเป็นของฉัน เพลงของ INDIGO ก็เพิ่มขึ้นมา คือมันเป็นผลพลอยได้จากเพลง ถ้าฉันเป็นเขา ทุกเพลงของเราก็จะมีคนฟังเยอะ