เปิดใจคุณหมอทางเลือก “ทอฟฟี่ น.พ.ศุภฤกษ์ ศรีคำ”
หากเอ่ยชื่อ “น.พ.ศุภฤกษ์ ศรีคำ” นายแพทย์ชำนาญการ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี โดยไม่ได้ดูภาพจริงๆ ของคุณหมอท่านดังกล่าวก็คงจะคิดว่าเป็นคุณหมอนักสู้แบบข้าราชการอันห่างไกลความเจริญ แต่หากได้ดูภาพที่แท้จริงของ “คุณหมอทอฟฟี่” หรือ “น.พ.ศุภฤกษ์ ศรีคำ” ในแบบเพศสภาพที่แท้จริงก็คงต้องตะลึงและอี้งไปกับภาพที่เห็นหลายนาที เพราะ “คุณหมอทอฟฟี่” คือคุณหมอสวยที่ถูกกล่าวถึงในโซเชียลกันมานาน “ดาราเดลี่” ได้เปิดใจ “หมอทอฟฟี่” ถึงเส้นทางชีวิต เส้นทางเพศ และหัวใจที่หลายคนคงอยากรู้
อยากให้ “คุณหมอทอฟฟี่” เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็ก หมอเป็นเด็กอีสาน เกิดที่อุบลฯ เรียนโรงเรียนประถม-มัธยมที่อีสานทั้งหมด พอสอบได้คณะแพทย์ ที่ ม.ขอนแก่น ก็ไปเรียนที่ขอนแก่น พอจบแพทย์ก็มาฝึกหัดแพทย์ที่คลินิกที่อุบลราชธานี เป็นคนที่เรียนและทำงานในภูมิลำเนามาตลอด
หมอได้แรงบันดาลใจการเป็นแพทย์มาจากไหน จริงๆ ลึกๆ อยากเป็นหมอนะ คือเด็กเอ็นทรานซ์สมัยนั้นมีค่านิยมแบบนั้น แม่อยากให้เป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก ก็เลือกคณะแพทย์ตามใจแม่ ตอนเรียนหมอก็ค่อนข้างหนักเรื่องวิชาการ เราจะได้วิชาเยอะมาก แต่พอจบมาเป็นทำอาชีพแพทย์ คือเรายังได้เรื่องไอคิว อีคิว เป็นหมอนี่เป็นอาชีพที่เราต้องเสียสละ ต้องเห็นใจคนอื่น เห็นใจคนไข้ที่เราดูแล เรียนแพทย์ทั้งหมด 6 ปี เรียนแพทย์ทั่วไปก่อน พอมาเป็นผู้อำนวยการก็เลือกเรียนบริหารโรงพยาบาลโดยตรง
อยากให้คุณหมอเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวตนของหมอ เริ่มอย่างไร ก็เริ่มจากไว้ผมสั้น แล้วก็ไว้ผมบ๊อบ แล้วก็ค่อยๆ แต่งหญิงไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เราเริ่มเปลี่นแปลงตัวเองสมัยเมื่อ 10 ปี ตอนนั้นก็เริ่มทำงานแล้ว สมัยก่อนคนไม่เห็นด้วยกับเพศทางเลือกของหมอนะ คนไม่ชอบก็มี คนที่เห็นด้วยก็ให้โอกาส สนับสนุน พอมาทำงาน 3 ปีก็เริ่มทำศัลยกรรม ก็ผ่าตัดแปลงเพศเป็นหญิงตามที่ตั้งใจไว้ ทุกอย่างต้องเก็บตังค์ เพราะค่าผ่าตัดแพงมากนะ ใช้เงินเยอะ เราผ่าตัดร่างกายก็อยากปลอดภัย ต้องหาโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ปรึกษาแพทย์ทางนี้ที่เก่งๆ ราคาก็จะสูงพอสมควร
ตอนแปลงเพศตัดสินใจนานไหม ตอนแปลงเพศตัดสินใจไม่นาน แต่เก็บตังค์นาน เพราะว่าใช้เงินตัวเองหมดเลย ตั้งใจว่าทำงานแล้ว เรียนจบแล้ว จะไม่ขอเงินคุณแม่ ทุกวันนี้ก็ยังให้เงินพ่อแม่ด้วยซ้ำ พอแปลงเพศก็ไปทำงานในอุบลฯ แรกๆ คนทั่วไปไม่รู้นะ เราก็ไม่ได้ไปใช้ทำอะไร
“หมอทอฟฟี่” ไต่เต้าในชีวิตข้าราชการแพทย์อย่างไร หมอเริ่มต้นทำงานที่โรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิ จากนั้นออกไปทำงานที่โรงพยาบาลเดชอุดม และพอมีตำแหน่งผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลกุดข้าวปุ้นก็ไปรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลกุดข้าวปุ้นเรื่องการแพทย์ของประชาชนอีสานสมัยนั้น ถือว่าขาดเยอะ ขาดหมอ สมัยที่หมอทำงานแรกๆ ที่อุบลฯ เมือก่อนมีหมอ 2-3 คนดูแลคนไข้ 2-3 หมื่น คนไข้ก็ไม่ต่างจากปัจจุบัน ทุกวันหมอ 5 คน คนไข้ก็เท่าเดิม หมอก็สลับกันอยู่เวร 15 วันใน 1 เดือน ค่อนข้างหนักนะงานแพทย์ในสมัยก่อน สมัยนี้หมอเยอะนะ แต่น้องๆ รุ่นใหม่จบก็ออกไปทำงานเอกชน อัตราหมอในราชการก็ลดลง ทุกวันนี้แพทย์ 5 ท่าน พยาบาล 30 ท่าน ก็ไม่ค่อยพอ เราทำได้เท่านี้จริงๆ ยอมรับสภาพ
พอแปลงเพศ บุคลากรในโรงพยาบาลเขามอง “หมอทอฟฟี่” อย่างไร เขาไม่ได้มารับรู้กับเรา คือเราแต่งเป็นหญิงแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร เราไม่รู้นะว่าเขายอมรับได้หรือไม่ เขาไม่ได้มาว่าต่อหน้าเรา เราทำงานไปเรื่อยๆ จริงๆ คือเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาตลอดเลยนะ ไม่เคยคิดว่าเราแตกต่างเลยนะ เรื่องเพศสภาพไม่มีผลอะไรขนาดนั้นในที่ทำงาน หมอก็ทำงานมา 10 ปีแล้วนะ
อยากให้คุณหมอพูดถึงเรื่องสุขอนามัยของคนอีสาน โรคส่วนใหญ่ของคนอีสานที่อุบลฯ ที่พบนะ เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค กินหวาน มัน เค็มหรือ NCD รับยาเป็นประจำไปตลอด เป็นปัญหาที่น่าจะเจอทุกภูมิภาค เพราะคนไทยชอบทานรสจัด
พอหมอมีชื่อเสียง เป็นข่าว ทำตัวยากขึ้นไหม หมอก็ทำงานปกตินะพอมีคนสนใจ ไม่ได้โฟกัสว่าจะเป็นดาราหรือคนดัง เราทำงาน ก็แต่งตัวเป็นแพทย์ปกติ เวลาไปสังคมไปงานก็แต่งตัวตามธีมงานเขาปกติ
ความรัก เคยมีแฟนแต่เลิกแล้ว ก็ดูๆ คนใหม่ ไม่มีแฟนนะ ยังไม่ได้คลิก ไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่ดี คิดว่าไม่ถึงเวลามากกว่า ถ้าเป็นคนที่เข้ามาก็เข้าใจเราเรื่องการทำงาน เราชอบทำงานและสนุกกับการทำงานอยู่ ถ้าเขาเข้ามาเป็นแฟนเราก็ต้องเข้าใจเรา การไม่มีเวลาของหมอเป็นเรื่องปกติ มีน้อยคนที่จะมาเข้าใจเราตรงนี้นะ เราก็ดูแลแต่คนไข้ด้วยนะ เป็นอารมณ์แบบว่าเข้าใจเรามาดูแลเราก็ดีนะ มโนเองไปหรือเปล่า แฟนเราก็ต้องมาดูแลเรา ให้หมอเหนื่อยขึ้นก็ไม่เอา ไม่ใช่แบบว่ามาจี้ๆ ไม่เอา แบบนั้นเยอะ
จริงๆ มีหนุ่มมาจีบเยอะหรือเปล่า ก็มีแหละ แต่ก็อย่างที่บอก เขาไม่ได้อินกับงานของเรา ตัดไปเลย คุณหมอชอบชายแบบไหน ไม่จำกัดในเครื่องแบบหรือนอกเครื่องแบบ คนไทยหรือต่างชาติได้หมด อยากเจอคนใจดี ซัพพอร์ตเรา เหงาไหม ก็ไม่นะ หมอมีเพื่อนเยอะที่อุบลฯ เหงาก็ชวนเพื่อนไปกินข้าว วิถีชีวิตคนปกติ