“หนิง” ไม่หวั่นพิษโคโรนาทำร้ายลูก แจงเหตุไม่ให้ “ณิริน” มีแฟน
ล่าสุดไข้หวัดโคโรนาที่แพร่เชื้อจากประเทศจีน ทำให้คนไทยตื่นตัวกันมากขึ้น รวมไปถึงคนในวงการอย่างนักแสดงสาว “หนิง ปณิตา ธรรมวัฒนะ” งานนี้มีโอกาสเจอตัวเลยคว้ามาถามถึงความกังวลที่มีต่อ “น้องณิริน” สักหน่อย พร้อมตอบชัดทำไมถึงไม่อยากให้ลูกมีแฟน ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า
อ่านข่าวต่อ :
“หนิง” เคลียร์ดราม่าสลับบท “โซ่เวรี” ย้ำชัดให้ความสำคัญทุกคนเท่ากัน
ตอนนี้กำลังเกิดโรคโคโรนา ก็กำลังติดตามข่าวสารอยู่ ต้องฝากบอกทุกคนด้วยว่าอย่าตื่นตระหนกกับข่าวมาก เพราะก็จะมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม หรือบางทีก็ตัดข่าวที่เป็นภาพจากหนังมา แล้วออกมานำเสนอว่าตอนนี้คนถึงขั้นชักกันแล้ว ก็อาจจะทำให้คนหวาดระแวงกันไปได้ พยามดูข่าวจริงๆ ที่นักข่าวออกมาอ่านและนั่งวิเคราะห์แบบมีสาระและมีประโยชน์ ถ้าถามว่านอยด์ไหม มีนอยด์บ้าง แต่ก็พยายามจะให้ลูกดูด้วย แล้วก็สอนเขาว่าจะเอาอะไรเข้าปากให้ล้างมือ อย่าขยี้ตา เพราะเชื้อโรคมันติดอยู่ตามพวกเยื่อบุต่างๆ ถ้าออกมาเจอผู้คนเยอะๆ ก็พยายามใส่หน้ากาก
พรุ่งนี้มีแพลนจะเดินทางไปต่างประเทศก็แอบหลอนๆ อยู่เหมือนกัน วันนี้ก็เตรียมหน้ากากเอาไว้แล้ว พอไปถึงสนามบินจะให้ใส่กันหมดทุกคน เพราะตรงสนามบินก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน จะพาน้องไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่นั่นมีคนติดเชื้อ 4 ราย แต่สามารถควบคุมได้ เหมือนของประเทศเรา ถามว่ากลัวไหม ก็กลัว จริงๆ มีอีกหนึ่งทริป ไปกับ “คุณกระแต” ซึ่งเขาถึงขั้นแคนเซิลทริปไปเลย บอกว่าไม่ไปแล้ว
ด้าน “น้องณิริน” ก็ให้เขาเรียนรู้ไปกับเรา เพราะเวลาเช้าๆ ก็จะเปิดข่าวไว้ ยิ่งถ้าอันไหนมันน่าสนใจก็จะเร่งเสียงให้เขาได้ยิน แต่ถ้าข่าวไหนรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะรู้ก็จะเบาเสียงลง แต่ก็พอให้เขาได้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง และมันน่ากลัวขนาดไหน เขาจะได้ไปคุยกับเพื่อนๆ ได้
จริงๆ ไม่ใช่มีแค่โรคนี้ที่น่ากลัวในวัยของเด็กๆ จะมีโรค RSV หรือโรคที่เกี่ยวกับมือ เท้า ปาก ก็ยังมีระบาดอยู่ ต่อให้มันควบคุมได้หรือรักษาได้ก็ตาม อย่าเป็นเลยดีกว่า แล้วทำไงถึงจะไม่เป็น ก็อย่าเอามือเข้าปาก กินของสะอาด ก็สอนไปตามวัยของเขา ซึ่งเขาก็ยังไม่ได้มีมาพูดคุยถึงเรื่องนี้กับเรา แต่พอเราแคะขี้ตา เขาก็บอกว่า “แม่ห้ามแคะขี้ตา เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าลูกตา”
ในส่วนของเรื่องที่เราเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่อยากให้น้องมีแฟน คือเป็นการคุยกันเล่นๆ ของคนเป็นแม่มากกว่า ด้วยวัยเขาก็ยังเล็กอยู่ ยังไม่ถึงขั้นต้องไปคิดขนาดนั้น เด็กหนุ่มในโรงเรียนมันก็เป็นวัยของเขา ที่รู้จักว่าอันนี้คือ เพศหญิง อันนี้คือเพศชาย ฉันชอบเธอ เธอชอบฉัน มันไม่ได้เป็นแบบวัยที่พวกเราคิดกันหรอก แต่ละวัยก็จะมีพัฒนาการในกระบวนการความคิดแตกต่างกันออกไป ซึ่งมันก็ยังไม่ได้ไปซีเรียสขนาดนั้น ยังอีกนาน
การสอนเรื่องของการรับมือ เอาตามความเป็นจริงเลย เพราะเดี๋ยวนี้เขาก็เห็นสื่อต่างๆ มากมาย ซึ่งเราก็จะบอกว่า “ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเพื่อนกันได้ แต่ถ้าเป็นวัยที่จะเป็นครอบครัวมันต้องเป็นวัยที่เรียนหนังสือจบก่อน ทำงาน รับผิดชอบตัวเองได้” ซึ่งความเข้าใจของเขาก็จะเข้าใจไม่เหมือนของเราหรอก เวลาเขาถามมาก็จะให้เหตุผล ไม่ให้เขารู้สึกว่าถ้าถามมาแล้วไม่ได้เหตุผลอะไรเลย เพราะถ้าเขาไม่ได้เหตุผลตามที่เขาอยากได้เขาก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเรา ซึ่งเวลาเราเลี้ยงลูกก็จะคุยและตอบคำถามของลูกให้ได้ แต่สิ่งที่ยากก็คือจะทำยังไงให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังสื่อสาร