เรื่องจริงที่หลายคนไม่รู้ วิกฤตชีวิต “ก็อต อิทธิพัทธ์”
เพิ่งฝากผลงานชิ้นโบว์แดงไปหมาดๆ สำหรับพระเอก “ก็อต อิทธิพัทธ์ ฐานิตย์” กับพระเอกเต็มตัวของช่อง 3 อย่างละคร “ซ่อนเงารัก” ที่เจ้าตัวมีพัฒนาการด้านการแสดงที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเทียบจากผลงานที่ผ่านๆ มา แถมยังมีกระแสคู่จิ้นฟินเว่อร์อีกคู่ให้วงการบันเทิงกับนางเอกของเรื่อง “ริชชี่ อรเณศ ดีคาบาเลส” เป็นแฮชแท็ก #ริชชี่ที่แปลว่าของก็อต ให้แฟนๆ ได้แชร์ความน่ารักของทั้งคู่ แม้ว่าละครจะจบไปแล้วก็ยังมีโอกาสได้เห็นทั้ง 2 คนควงคู่ไปออกรายการ อีเว้นท์ และให้สัมภาษณ์คู่กันจนมีโมเมนต์ออกมาไม่ขาด
อ่านข่าวต่อ : "ก็อต อิทธิพัทธ์" ซึ้งแฟนคลับจัดเต็มเซอร์ไพรส์วันเกิด
แต่สำหรับหนุ่ม “ก็อต” ชีวิตในวงการบันเทิงที่หลายๆ คนมองว่ามีเส้นทางที่ดีสุดๆ ตั้งแต่เริ่มมาจากซีรีส์ “เดือนเกี้ยวเดือน” มาจนถึงเรื่องปัจจุบันแล้วละก็ บอกเลยว่าเป็นเพียงด้านหนึ่งของเจ้าตัวในวงการนี้เท่านั้น เพราะว่าอีกด้านก็มีเรื่องราวที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับพระเอกหนุ่มคนนี้ อย่างช่วงที่กระแสดร็อป ไม่มีผลงานออกมาให้ได้ติดตามกันเลย เจ้าตัวได้เล่าย้อนวันวานถึงเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แบบเข้าใจสัจธรรมของชีวิตผ่านวงการบันเทิง
พูดถึงโอกาสต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตหน่อย? ตอนแรกเอาจริงๆ เข้ามาเริ่มแรกไม่คาดหวังเลย เป็นคนไม่คาดหวัง เป็นคนทำตัวชิลๆ เรื่อยๆ ไม่เคยแพลน เวลาคนถามว่าเออปีนี้แพลนตัวเองยังไง เอาจริงๆ นี่ก็แอบตอบยากเหมือนกัน ไม่เคยแพลนตัวเองครับ ทุกอย่างมันมาเพราะด้วยว่าเราไม่ท้อมากกว่า เหมือนแบบโอกาสมาแล้วเราไม่เคยปฏิเสธ สมมติในการทำงานมีโอกาสถ้าเป็นเปอร์เซ็นก็เป็น 1-100% ใช่ไหมครับ บางทีโอกาสที่แบบ 1 เปอร์เซ็น โอกาสจริงๆ แต่โอกาสไม่ได้ดีมากเราก็ทำ โอกาส 100 เราก็ทำ เราทำหมด เรารู้สึกว่ามันคือการทำงาน เราชอบทำงาน ผมเป็นคนชอบทำงานมากเลย ดี-ไม่ดีไม่รู้ เก่ง-ไม่เก่งไม่รู้ แต่ชอบทำ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองว่างจะเครียดละ จะนอยด์ละ รู้สึกว่าว่าง 3-4 วัน ว่างเดือนนึง ว่างวีคนึงก็จะรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมายแล้วอ่ะ ต้องไปหาอะไรทำ คือไม่ได้หมายถึงว่าทำงานอย่างเดียว ไปหาอะไรทำก็ได้ให้ชีวิตมันดีขึ้น เหมือนชอบทำนั่นทำนี่ให้ตัวเองดีขึ้น
จุดเริ่มต้นของ “ก็อต” ในวงการนี้?มีพี่มาชวนไปแคสต์เดินแบบกันไหม ถ้าว่างๆ ก็ไป ไม่ได้แบบฟิคนะ ไปขำๆ หาประสบการณ์เล่นๆ และตอนนั้นมันบวกกับเป็นช่วงที่ผมว่างพอดีเลย ช่วงประมาณอายุ 19 ผมก็เลยแบบรู้สึกว่าถ้าเสาร์-อาทิตย์เราไปแคสต์แบบทำงานก็ดูเท่ดีนะ คือระหว่างที่เพื่อนแบบยังไม่ทำงาน เราทำงานละ แบบเล็กๆ น้อยๆ รู้สึกว่าเราก้าวหน้าไป 1 สเต็ปแล้ว ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น ที่ไปแคสต์แบบไปเดินแบบนู่นนี่นั่นแล้ว แบบปีนึง ปีนั้นเราทำงานเยอะมาก แคสต์เยอะมาก แคสต์สารพัดจะแคสต์อ่ะ เลิกเรียนขับรถจากเอแบควิ่งเข้าเซ็นทรัลเวิด์ล วิ่งไปพารากอนเพื่อไปแคสต์พวกงาน โชว์ต่างๆ มีงานโฆษณาไปแคสต์ก็ได้บ้างไม่ได้บ้างงี้ ไม่ได้ซีเรียสอะไรนะครับ รู้สึกว่าตอนนั้นเงิน 3-4 พัน 2 พัน หรือพันนึงอยู่ดีๆ ก็ได้มา เด็กอายุเท่านั้น 19 ดีใจมากแล้วนะ เออ ดีใจ ดีใจมากๆ แล้ว พอจนทำมาปีนึง ทำหมดทุกอย่างแล้ว ตอนนั้นเราเริ่มที่จะฝันละ เรามีฝัน เริ่มกล้าที่จะฝันเรารู้สึกว่าเราเห็นศักยภาพตัวเองว่าเราทำอะไรได้บ้าง ตอนนั้นก็ฝันแค่ว่าอยากเห็นหน้าตัวเองอยู่ในนิตยสารหรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ นึกออกไหมครับ พวกนายแบบพอเราขับรถไปมันก็จะมีติดนั่นติดนี่อะไรอย่างนี้ คิดแค่นั้น อยากเห็นตัวเองในสื่อต่างๆ ช่วงนั้นถ่ายแบบบ่อยมาก ก็จะเก็บไว้หมดเลยนะ หนังสือ นิตยสารที่เราถ่ายมา ไม่ใช่ปกด้วย เป็นข้างใน เป็นแฟชั่นเซ็ตก็เก็บไว้หมด พอถ่ายๆ ไปเริ่มรู้สึกว่าเห้ยมันเริ่มอิ่มละ อยากออกจาก safe zone แล้ว ความต้องการเริ่มมากขึ้น เริ่มอยากได้เงินเยอะขึ้น จากเมื่อก่อน 3,000 เริ่มอยากได้ 30,000 นึกออกไหมครับ
แล้วตอนนั้นมันมีซีรีส์มาให้แคสต์พอดี บอกตรงๆ ว่าตื่นเต้นมากแล้วก็กลัวมากๆ ว่าจะทำไม่ได้ จุดเริ่มต้นก็ออกมาจากนายแบบ จาก safe zone ของตัวเองไปเล่นซีรีส์ นั่นแหละครับก็เป็นจุดเริ่มต้นครั้งยิ่งใหญ่จนเนี้ยะแบบมาทุกวันนี้ ซึ่งเอาจริงๆ ทุกอย่างคือเราถือว่าเป็นการเดินทางที่ไปของมันเรื่อยๆ อ่ะ ไม่เคยคาดหวังเลย ไม่เคยเซ็ตตัวเองว่าปีนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะเป็นคนกลัวว่าถ้าเราคาดหวังเราจะผิดหวัง ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ
จุดพลิกผันของชีวิต ?ปีแรกของการเป็นนักแสดงไม่คาดหวังอะไรเลย สนุกกับชีวิตมาก มีความสุขทุกวัน ปีที่ 2 ก็ยังสนุกอยู่ เริ่มเก็บเงิน หาเงิน เก็บเงิน หาเงิน จอยๆ ปีที่ 3 เริ่มเหมือน Timing ดารามันอยู่ได้ประมาณถ้าเป็นเรื่องนึงก็
2-3 ปี 2 ปีแรกเรามีความสุขไง พอปีที่ 3 เราคาดหวัง พอคาดหวังแล้วลง โอ้โห เท่านั้นแหละ สัจธรรมมาก ชีวิตมันแบบอย่างนี้เลย เราเห็นชีวิตจริงๆ อ่ะ เราเห็นชีวิตแล้วมันเป็นช่วงที่ว่างๆๆ ทุกอย่าง ว่างงาน จากที่แตะกราฟ ร่วงลงมาๆ เสร็จปุ๊บเห็นชีวิตละ และก็เข้าใจเลยว่าแบบ เออ ชีวิตวงการบันเทิงมันเป็นแบบนี้นี่เอง
คือผมจะเป็นคนที่แบบทำงานแล้วก็จะเก็บเงินแล้วก็จะใช้ไปด้วย แต่เราจะมีก้อนนึงก้อนใหญ่ที่เราไว้สำรอง emergency จริงๆ แล้วเราจะไม่แตะมัน แล้วคิดดูนะฮะ ถ้าก้อนนั้นผมใช้อ่ะ ผมไม่คิดอะไร ใช้ไปดิ หามาก็ใช้ๆๆ ซื้อความสุขไป ปีที่ 3 ที่มันเกิดดร็อปลงมา เหมือนกราฟชีวิตมันเป็นอย่างนี้ เหมือนชีวิตมันตกลงมาแล้วถ้าไม่มีก้อนนั้นผมเหมือน blank เหมือนกันนะ ไม่รู้จะทำอะไรเลยนะ มันก็จะแบบ แล้วมันเป็นช่วงที่พ่อป่วยพอดี โอ้โห ดีนะที่มันมีแผน B ที่เรารองรับไว้อยู่ ซึ่งมันแบบเห็นชีวิตมากๆ คือปีนั้นมันเป็นปีที่แบบทุลักทุเลมากเลยนะ ทั้งอดทน ทั้งเหนื่อย ทั้งแบบเศร้า ทั้งเสียใจ เหมือนสมองมันต้องคิดตลอดเวลา หลายอย่างเลยปีนั้น หลายอย่างมากจนเราเรียนรู้ตั้งต่าง แล้วเราก็คิดว่าชีวิตคือมันต้องแบบวางแผนจริงๆ มันไม่ใช่แบบว่าสนุกๆ ไป คือทุกอย่างมันอยู่ที่เวลาของมัน
ช่วงความทรงจำ-ความสุขในวงการ ผมว่าน่าจะเป็นปีแรกๆ 2 ปีแรกๆ ที่คนรู้จักเรา ปีนั้นคือแบบไปไหน ไปอีเว้นท์งี้แฟนคลับคือ 100-200 คน แห่กันมาแบบเราไปไหนเราไม่กลัวใครอ่ะพูดเลยว่าไปอีเว้นท์ไหนเราไม่กลัวศิลปินคนอื่น เพราะเรารู้สึกว่าเรามีฐานที่เราเยอะมากๆ ออกอีเว้นท์ทุกวัน แฟนคลับแห่ทุกวัน เหมือนงานบวช ชีวิตตอนนั้นมีความสุขมาก ได้เจอผู้คน ได้เจอแฟนคลับ ได้แบบ เห้ยพี่คนนั้น พี่คนนี้สวัสดีครับ เราก็ได้เจอเขา ได้ทักทายเขา จำหน้าเขาได้ เขามาหาเราแบบจำหน้าเขาได้ เป็นระยะเวลาปีนึงเต็มๆ ช่วงนั้นคืองานแน่นแล้วแบบไม่ได้คิดอะไรเลย มีแต่ความสุข ช่วงโกย จนได้ไปต่างประเทศอีก โอ้โห พีคขึ้นอีก ไปเจอประสบการณ์ที่เราไม่เคยไป ซึ่งผมคิดว่าชีวิตนี้มันคงไม่ได้หาอะไรอย่างนั้นง่ายๆ ไปจีนไปเอเชีย ไปทั่วเลย ไปแฟนมีตติ้งต่างๆ ไปทำงานต่างๆ ไปถ่ายละครจีน ไปให้คนต่างประเทศเห็นว่าแบบมันมีคนไทยคนนี้อยู่นะที่แบบทำงาน ซึ่งมันแบบจากคนที่ไม่คิดอะไร ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมาอยู่จุดนี้ อย่างที่บอกไม่เคยคิดอะไรเลยคิดแค่ว่าทำไงถึงเรียนจบ ทำไงถึงแบบมีกิน คิดแค่นั้นเลย ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นนักแสดง แต่พอมันมาแล้ว มันขึ้นไปอยู่จุดสูงๆ ผ่านประสบการณ์ทั่วโลก ทั่วเอเชีย แฟนคลับเนี้ยะ โห เมื่อก่อนไปไหนมาไหนแฟนคลับเนี้ยะแบบห้างแตกจนแบบ 2-3 ปี เราก็กอบโกยความสุขนะ เราก็จำได้หมด จำทุกโมเมนต์ได้หมด พอผ่านเวลาไป ทุกอย่างกลับสู่โหมดปกติ ของใหม่ก็มา เก่าไปใหม่มาเป็นเรื่องปกติ เข้าใจมากๆ